ดาวโจนส์ปิดบวก 216 จุด เงินเฟ้อสูงสุดรอบ 39 ปี

HoonSmart.com>> ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 216 จุด เมินเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือนพ.ย.พุ่ง 6.8% สูงสุดในรอบ 39 ปี ด้านตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ลดลง ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับเพิ่มขึ้น 73 เซนต์

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 10 ธันวาคม 2564 ปิดที่ 35,970.99 จุด เพิ่มขึ้น 216.30 จุด หรือ 0.60% แม้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 39 ปี

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,712.02 จุด เพิ่มขึ้น 44.57 จุด, +0.95%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,630.60 จุด เพิ่มขึ้น 113.23 จุด, +0.73%

ในสัปดาห์นี้ ดัชนี DJIA เพิ่มขึ้น 4%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 3.8% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 3.6%

กระทรวงแรงงานรายงาน ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไป เดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 6.8% จากระยะเดียวกันของปีก่อน สูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 1982 และสูงกว่า 6.7% ที่นักวิเคราะห์คาด เมื่อเทียบรายเดือนเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 0.8%

เงินเฟ้อเพื้นฐาน (Core CPI) ไม่รวมราคาพลังงานและอาหารเพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนและเพิ่มขึ้น 4.9% จากระยะเดียวกันของปีก่อนตามคาด

นักลงทุนบางส่วนประเมินเงินเฟ้อสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด จึงกลับเข้ามาซื้อหลังการรายงานข้อมูล

นักวิเคราะห์จาก LPL Financial ให้ความเห็นเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนแม้จะสูงสุดในรอบหลายทศวรรษแต่ก็เป็นไปตามคาด ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีเพราะตลาดรับข่าวเงินเฟ้อสูงไปแล้ว จึงคลายวิตก นอกจากนี้ ราคารถมือสอง ที่พักและราคาตั๋วเครื่องบินยังเพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาด ซึ่งทั้ง 3 ด้านนี้มักจะเพิ่มสูง และอาจจะเป็นสัญญานหนึ่งบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อใกล้จะแตะระดับสูงสุด

นักลงทุนยังกังวลว่า เงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจจะทำให้ธนาคารกลาง(เฟด)เร่งการลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรรายเดือนมูลค่า 120,000 ล้านดอลลลาร์

นักวิเคราะห์จาก Principal Global Investors กล่าวว่า ไม่กังวลกับเงินเฟ้อโดยนับจากสิ้นปีนี้ไป 12 เดือนเงินไม่คาดว่าจะเห็นเงินเฟ้อในระดับ 6-7% แต่จะอยู่ในระดับสูงกว่า 3%

มหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานผลสำรวจ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 70.4 จาก 67.4 ในเดือนพฤศจิกายน สูงกว่า 68.0 ที่นักวิเคราะห์คาด

หุ้นออราเคิลเพิ่มขึ้น 15.6% จากผลการดำเนินงานรายไตรมาสดีกว่าคาด

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง นำโดยกลุ่มค้าปลีกที่ลดลง 1.4 % นักลงทุนกลับมากังวล

เกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โอไมครอน ขณะที่ขานรับการรายงานข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ

ในสหราชอาณาจักรนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันประกาศยกระดับการใช้มาตรการ Plan B ซึ่งเข้มงวดขึ้น หลังจากมีการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โอไมครอนอย่างรวดเร็ว และHealth Security Agency คาดว่า อาจจะมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โอไมครอน ถึง 1 ล้านคนภายในสิ้นเดือนนี้ นักลงทุนจึงขายหุ้นออกเพื่อลดความเสี่ยง เพราะสถานการณ์ลุกลามเร็ว

นอกจากนี้ GDP เดือนตุลาคมของสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% จากเดือนกันยายนต่ำกว่า 0.4% ที่นักวิเคราะห์คาด ทำให้ประเมินธนาคารกลาง(Bank of England)อาจจะชะลอปรับดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 475.56 จุด ลดลง 1.43 จุด, -0.30%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,291.78 จุด ลดลง 29.48 จุด, -0.40%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,991.68 จุด ลดลง 16.55 จุด, -0.24

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,623.31 จุด ลดลง 15.95 จุด, -0.10%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมกราคม เพิ่มขึ้น 73 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 71.67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้น 73 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 75.15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ในสัปดาห์นี้น้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 8.2% ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) เพิ่มขึ้น 7.5%