MILL หวังรายได้ปี’65 แตะ 2 หมื่นลบ. ราคาเหล็กสูง-ธุรกิจเสริมโต

HoonSmart.com>> “มิลล์คอน สตีลคาดรายได้ปี 65 พุ่ง 1 เท่าตัวแตะ 2 หมื่นล้านบาท  คาดใช้กำลังการผลิตเต็ม 1.2 ล้านตัน ส่วนบริษัทย่อย ธุรกิจกำจัดขยะครบวงจร เติบโตต่อเนื่อง จ่อขายขยะอุตสาหกรรม SRF เพิ่ม ด้านบริษัทร่วมทุน ร่วมประมูลโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม หวังได้อย่างน้อย 9.9 เมกะวัตต์ การทำธุรกิจเน้นดูแลสิ่งแวดล้อมและลดโลกร้อน

นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล  ประธานคณะกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท มิลล์คอน สตีล (MILL) หนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายเหล็กครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2565 อยู่ที่ 20,000 ล้านบาท จากปี 2564 คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท คาดปริมาณการใช้เหล็กในอุตสาหกรรมสูงถึง 18-19 ล้านตัน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่คาดว่าจะมีการผลิตมากกว่าปีนี้ และส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิต่อเนื่อง

ปัจจุบันกลุ่มบริษัทมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 1.2 ล้านตันต่อปี ตั้งเป้าปริมาณการขายเท่ากำลังการผลิต ส่วนแนวโน้มราคาเหล็กในตลาดโลกมีโอกาสเพิ่มขึ้น เนื่องจากในประเทศจีนมีนโยบายปิดโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐาน และยกเลิกนโยบายคืนภาษีส่งออก (Tax rebate) ส่งผลให้ราคาเหล็กยังมีแนวโน้มสูงขึ้น

บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจเหล็ก และต่อยอดไปในธุรกิจที่จะสร้างมูลค่าเพิ่ม เน้นแนวทางแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดโลกร้อน  ซึ่งถือเป็นเทรนด์ใหญ่ของโลก ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทได้มีการปรับตัว และให้ความสำคัญมาโดยตลอด เพราะถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเดินไปสู่เป้าหมายใหญ่คือการเป็น Green Steel  ในที่สุด

นอกจากการผลิตเชิงเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อลดปริมาณของเสียแล้ว บริษัทยังมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตั้งแต่การผลิต การขนส่ง การใช้ผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภค จนถึงขั้นตอนการนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง

ปัจจุบันแนวทางการดำเนินธุรกิจแบบ Circular Economy เป็นทิศทางที่ผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน  บริษัทได้เริ่มดำเนินการไปบางส่วนแล้ว เช่น การคัดแยกเหล็กและยางรถยนต์ โดยนำเศษเหล็กไปผลิตเหล็กเพื่อนำกลับไปใช้ใหม่ ส่วนยางก็สามารถนำไปเป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้าได้ ลดการสูญเสีย และสร้างรายได้เพิ่มให้กับธุรกิจ เป็นต้นนายสิทธิชัย กล่าว

ด้านนายศุภมงคล มาโนช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมบริษัท ซันเทค รีไซเคิล แอนด์ ดีคาร์บอน ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของMILL เปิดเผยว่า บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและลดโลกร้อน จากเดิมที่บริษัทดำเนินธุรกิจบริหารจัดการเศษเหล็กและซื้อขายเศษเหล็ก โดยเป้าหมายหลักคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้บริษัทต้องการจะเป็นศูนย์กลาง carbon credit ของกลุ่มบริษัทในเครือมิลล์คอน สตีล  นอกจากนี้ต้องมองหานวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะช่วยสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization)

การดำเนินธุรกิจเดิมในการบริหารจัดการเศษเหล็ก บริษัทนำเทคโนโลยีของเครื่องจักรมาใช้บริหารจัดการเศษเหล็ก  สามารถบดย่อยเศษเหล็กให้มีขนาดเล็กลง ก่อนส่งเข้าสู่กระบวนการหลอม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเป็นการประหยัดพลังงานในการหลอม (Recycle Process) เหล็กที่ได้จะถูกปรุงแต่งให้มีความบริสุทธิ์ก่อนนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง ส่วนชิ้นส่วนอื่นที่ไม่ใช่เหล็ก เช่น พลาสติก วัสดุยาง ที่ถูกคัดแยกสามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตพลังงาน ซึ่งเป็นกระบวนการที่สามารถลดขยะที่เป็นมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมตามหลัก Zero waste ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กระบวนการย่อยเศษต่างๆ  จะได้เชื้อเพลิงขยะ SRF ออกมาประมาณ 30% มีค่าความร้อนประมาณ 3,000-3,500 กิโลแคลอรี่ต่อกิโลกรัม ซึ่งในอนาคตบริษัทจะนำเชื้อเพลิงไปใช้ในโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมของกลุ่มบริษัท ปัจจุบันได้เริ่มขายให้โรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมบางแห่งแล้ว มีปริมาณขยะเหล็กจาก MILL ประมาณ 20,000 ตันต่อเดือน

นายทวันทว์ บุณยะวัฒน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะ เมกะวัตต์ ที่ MILL ถือหุ้นอยู่ 26% เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจของบริษัทจะช่วยสนับสนุนในการหาพลังงานสะอาดให้กับกลุ่ม MILL  เพื่อช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน รวมทั้งรักษาสิ่งแวดล้อม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาการเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมในปี 2565 กำลังการผลิตรวม 200 เมกะวัตต์ คาดว่าจะได้อย่างน้อย 1 โรงไฟฟ้า กำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ จะใช้เชื้อเพลิงขยะ SRF จากบริษัทย่อยของ MILL ปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมอยู่ประมาณ 60 เมกะวัตต์