HoonSmart.com>> “เฮลท์ลีด” ลั่นระฆังเทรด 3 ธ.ค.นี้ ชูจุดแข็งร้านขายยาค้าปลีกรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ประเมิน 3 ปีโตแรง จากแผนขยายสาขา ตั้งเป้าผลงานปีนี้รักษาการเติบโตได้ในระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ หนุนมาร์จิ้นพุ่ง เผยกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่กอดหุ้นแน่น มั่นใจหลังระดมทุนเพิ่มศักยภาพ ผลักดันอนาคตเติบโตอย่างยั่งยืน
ภก.ธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลท์ลีด (HL) เปิดเผยว่า บริษัทฯมั่นใจว่าในวันที่ 3 ธันวาคม 2564 หุ้น HL จะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรกในหมวดธุรกิจบริการ จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างคึกคัก เนื่องจากธุรกิจของบริษัทฯอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเมกะเทรนด์ และธุรกิจร้านขายยาค้าปลีกในรูปแบบ Chain Drug Store รายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai และมีความสามารถทำกำไรในระดับสูง ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยในปี 2561-2563 กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 0.39 ล้านบาท จำนวน 21.77 ล้านบาท และจำนวน 52.08 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 0.05%, 2.38% 4.82% ตามลำดับ
ขณะที่ล่าสุดในงวด 9 เดือนของปี 2564 บริษัทฯมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 57.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.85% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 38.65 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 6.30% เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 4.85%
“สำหรับภาพรวมของผลการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทฯตั้งเป้าหมายจะเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยสามารถรักษาการเติบโตได้ตามค่าเฉลี่ยของ 3 ปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มบริษัทมีรายได้รวมที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นในปี 2561 อยู่ที่ 15.71% และ 17.98% สำหรับปี 2562 และ 2563 ตามลำดับ และผลงานที่ผ่านมาสามารถสะท้อนศักยภาพการผลักดันการเติบโตได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังมีบริษัท เฮลทิเนส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้น 100% ประกอบธุรกิจคิดค้น และพัฒนาร่วมกับทีมวิจัยภายนอก รวมทั้งว่าจ้างผู้ผลิต เพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ “PRIME” และ “Besuto” ซึ่งจะมีการออกผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง และเป็นสินค้าที่สามารถทำกำไรสูง จะเป็นปัจจัยที่สำคัญช่วยผลักดันการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดในอีก 3-5 ปีข้างหน้าได้อย่างแน่นอน”ภก.ธัชพลกล่าว
ภก.ศุภกร พันธุกานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เฮลท์ลีด ในฐานะกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่กล่าวว่าภายหลังจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในครั้งนี้ กลุ่มพันธุกานนท์จะมีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 72.22% ของทุนจดทะเบียน 136 ล้านบาท และยังคงมีนโยบายที่จะรักษาสัดส่วนการถือหุ้นไว้ เนื่องจากเป้าหมายของการเข้าจดทะเบียน เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพและผลักดันการเติบโตในระยะยาว สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ
“กลุ่มพันธุกานนท์ มีเจตนารมณ์ อยากให้มีร้านขายยาที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย อยู่คู่กับสังคมไทยไปตลอด สามารถกระจายยาไปยังชุมชนได้อย่างทั่วถึงทุกระดับ เราไม่ได้หวังว่าจะต้องทำกำไรให้มากที่สุด แต่อยากให้ร้านขายยาเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของสังคม รองรับการก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ในทุกมิติ ตลอดจนมีการเติบโตอย่างยั่งยืน”
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) มั่นใจว่า HL จะเป็นหุ้นน้องใหม่ในหมวดธุรกิจบริการที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดย HL ถือเป็นผู้ประกอบการร้านขายยาค้าปลีกที่จำหน่ายยา เวชภัณฑ์ เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อุปกรณ์การแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ รวมกว่า 10,000 รายการ เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก จากการขยายสาขาเพิ่มทุกปี จากปัจจุบันมีอยู่แล้ว 26 สาขา ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ iCare มีจำนวน 10 สาขา Pharmax 12 สาขา vitaminclub 3 สาขา Super Drug 1 สาขา โดยแต่ละสาขามียอดขายต่อสาขาเติบโตต่อเนื่อง ช่วยผลักดันให้ผลการดำเนินงานให้อยู่ในระดับที่ดีได้ในระยะยาว รวมถึงการที่บริษัทฯมีแผนผลิตโปรดักส์ใหม่ที่เป็นสินค้านวัตกรรมเพื่อสุขภาพต่อยอดเพิ่มเติมจากแบรนด์ Besutoที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ป้องกัน และฆ่าเชื้อ Covid- 19 รวมทั้งอาหารเสริมจากแบรนด์ Prime ที่เน้นวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ซึ่งสองแบรนด์ได้รับรางวัลจากต่างประเทศอีกด้วย
“การเข้าระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตของ HL ได้อีกมาก เพราะทำให้มีแหล่งทุนเพิ่มศักยภาพในการขยายสาขาได้ต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันการเติบโตในอนาคตได้อย่างก้าวกระโดด”
ทั้งนี้ HL ได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 72 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น ในราคาหุ้นละ 9.80 บาท โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจบริการ