“คิงส์ฟอร์ด” วางแนวรับ 1,590–1,600 จุดแนะกลุ่มสุขภาพ

HoonSmart.com>> บล.คิงส์ฟอร์ด มองหุ้นเคลื่อนไหวกรอบแนวรับ 1,590 – 1,600 จุด แนวต้าน – 1,630 จุด แนะกลุ่มบริการสุขภาพ หุ้นแนะนำวันนี้ EPG-BCH

บริษัทหลักทรัพย์คิงส์ฟอร์ด ประเมิน SET Index วางแนวรับดัชนี SET ที่ 1,590 – 1,600 แนวต้าน 1,620 – 1,630 แนะนำซื้อกลุ่มบริการสุขภาพ เช่น BCH, CHG, WINMED, SMD, PHOL, STGT ( +บริการตรวจเชื้อ, ถุงมือยางและอุปกรณ์ตรวจเชื้อคาดอุปสงค์เพิ่มขึ้นจากการระบาดรอบ 4 ในยุโร, ไวรัสกลายพันธุ์)

ตลาดหุ้นสหรัฐ DJIA -2.53%, S&P500 -2.27%, Nasdaq -2.23%หุ้นกลุ่มพลังงาน -6.30%, กลุ่มการเงินและอุตสาหกรรมปรับลดลง จากความกังวลการระบาด Covid-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มสายการบิน &เรือสำราญปรับลดลง ขณะที่กลุ่มบริการสุขภาพ, บริษัทวัคซีน และหุ้นเทคโนโลยีเกี่ยวกับ WFH เช่น Netflix, Zoom ปรับตัวขึ้น

ตลาดหุ้นยุโรป Stoxx600 -3.67% หุ้นกลุ่มน้ำมัน &ก๊าซ -5.80%, เหมืองแร่ -5.0% จากความกังวลอุปสงค์ลดลงจากระบาด Covid-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้กลุ่มเดินทาง -8.80% หลังอังกฤษสั่งระงับเที่ยวบินจากแอฟริกา 6 ประเทศ

สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ EPG (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 15.30 บาท) ผลประกอบการ 2Q64/65 (ก.ค.-ก.ย.) รายงานกำไรสุทธิ 412 ล้านบาท ยังเติบโตต่อเนื่อง YoY แต่อ่อนตัวลง QoQ รายได้รวมยังปรับตัวเพิ่ม QoQ ได้หนุนจากกลุ่มชิ้นยานยนต์ยานยนต์ Aeroklas ที่ส่งออกไปยังออสเตรเลียและยุโรป และกลุ่มบรรจุภัณฑ์ EPP ทีมีการเร่งระบายสินค้าเก่าในสต๊อก ช่วงชดเชยรายได้กลุ่มฉนวน Aeroflex ที่ถูกกระทบจากการ Lockdown

ขณะที่ GPM ถูกกดดันจากต้นทุนวัตุดิบและการทำโปรโมชั่น แนวโน้ม 3Q64/65 (ต.ค.-ธ.ค.) คาดฟื้นตัว QoQ ทุกธุรกิจจากสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 ที่คลี่คลาย รวมถึงจะมีการทยอยปรับเพิ่มราคาสินค้าเพื่อชดเชยต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น

BCH (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท) หนึ่งในหุ้นที่รับความเสี่ยงได้ดีจากปัจจัย Covid-19 สำหรับแนวโน้ม 4Q64 เราคาดว่าจะเป็นภาพของการอ่อนตัว QoQ จากรายได้ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับ Covid-19 ที่ลดลง แต่จะยังคงเห็นการเติบโตได้ YoY ขณะที่ภาพในปีหน้า เราคาดว่าจะเป็นภาพของการหดตัวเมื่อเทียบกับปีนี้

อย่างไรก็ตามหากเทียบกับในช่วงปี63 จะเป็นภาพของการขยายตัวที่โดดเด่นจาก 1. รายได้ Covid-19 ที่จะยังคงมีผลต่อเนื่องถึงปีหน้าแม้ปริมาณจะลดลง (การตรวจเชื้อ, การรักษา, วัคซีน) 2.จำนวนเตียงที่สูงขึ้นจากการเปิดร.พ.ใหม่ในปีนี้ (เกษมราษฎร์ปราจีนบุรี และ เกษมราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์) 3.ฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจากการรับรักษาโรค Covid-19 ในปีนี้ โดยเราวางกำไรสุทธิ ปี64 และ ปี65 ที่ 5,600 ลบ. (+355.51%YoY) และ 1,784ลบ.(-68.15%YoY) ซึ่งหากเทียบกำไรสุทธิ ปี65 กับ ปี63 แทน จะพบว่ากำไรสุทธิจะปรับตัวสูงขึ้นถึงราว +45%