“แบงก์ชาติ” ย้ำศก.ไทยแกร่ง จ่อขยับจีดีพีปีนี้

“วิรไท” ย้ำแบงก์ชาติเตรียมขยับจีดีพีปีนี้ หลังครึ่งปีแรกเศรษฐกิจโต 4.8% พร้อมระบุปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ความสำคัญ 3 ปัจจัย “เป้าหมายเงินเฟ้อ-การเติบโตเศรษฐกิจ-เสถียรภาพภาคการเงิน” รวมทั้งความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปาฐกถาเรื่อง “นโยบายการเงินโดยธนาคารแห่งประเทศไทย : ทิศทางสู่การเติบโตที่ยั่งยืน” ในงาน “Thailand Focus 2018” วันนี้ (29 ส.ค.) โดยระบุว่า ในช่วงเดือนก.ย.นี้ ธปท.จะทบทวนตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้ใหม่ จากปัจจุบันที่คาดว่าจะเติบโต 4.4% หลังจากครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยเติบโต 4.8% ดีที่สุดในรอบ 5 ปี ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตทั้งภาคการส่งออก การบริโภคในประเทศ และการลงทุนเอกชน อีกทั้งเป็นการสะท้อนว่าการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้นเริ่มกระจายตัวไปยังภาคเศรษฐกิจอื่นๆ

วิรไท สันติประภพ

นายวิรไท ย้ำว่า ธปท.มีอิสระในการกำหนดนโยบายการเงินของไทย ซึ่งจะให้น้ำหนักกับ 3 ปัจจัย ได้แก่ เป้าหมายเงินเฟ้อ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพภาคการเงิน รวมทั้งต้องคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้า การติดตามการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก ส่วนในประเทศ ต้องติดตามสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวไทย หลังจากเกิดเหตุเรือล่มที่ จ.ภูเก็ต อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ประเทศไทยมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งพอรองรับต่อความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี

“ประเทศไทยอาจจะมีความเข้มแข็งมากที่สุดเลยในประเทศเกิดใหม่เลยก็ว่าได้ ทั้งในแง่เงินสำรองระหว่างประเทศ และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูงถึง 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้เรามีอธิปไตยในการกำหนดนโยบายการเงินของเราเอง แตกต่างจากประเทศเกิดใหม่อื่นๆ ตลอดจนภาคธนาคารไทยซึ่งมีการกันสำรองสูง และ สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้ดี นอกจากนี้ หากพิจารณาการถือครองพันธบัตรของผู้ที่พำนักถิ่นฐานนอกประเทศไทย พบว่ามีสัดส่วนเพียง 10% เทียบกับประเทศอื่นที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 40%” นายวิรไทกล่าว

นายวิรไท ยังกล่าวว่า ขณะนี้ภาวะหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่การซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อให้เช่าหรือเก็งกำไรเพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารพาณิชย์เริ่มปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยให้สินเชื่อกับผู้ขอกู้เทียบกับหลักทรัพย์มากขึ้น

สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยหลังจากอัตราดอกเบี้ยสหรัฐมีแนวโน้มปรับขึ้นนั้น นายวินไท กล่าวว่า ไทยมีอธิปโตยในการกำหนดนโยบายการเงิน แต่ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับต่ำนานเกินไปเช่นกัน ส่วนดอกเบี้ยไทยจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)

“สงครามการค้าสหรัฐและจีน เป็นความเสี่ยงที่ กนง.จับตา ซึ่งขณะนี้เริ่มส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐแล้ว แต่ยังจำกัด และก็มีโอกาสที่ประเทศไทยจะได้อานิสงค์การกีดกันทางการค้าเช่นกัน โดยผลกระทบจากสงครามการค้าจะเห็นเด่นชัดขึ้นในปีหน้า”นายวิรไทระบุ

นายวิรไท ยังกล่าวถึงฟินเทคมีบทบาทเพิ่มขึ้นว่า ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่ภาคการเงินการธนาคารต้องปฏิรูปเพื่อให้รับกับแลนด์สเคปทางการเงินที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ซึ่ง ธปท. สมาคมธนาคารไทย และนอนแบงก์ ได้ร่วมกันพัฒนาระบบอิเล็คทรอนิกส์เพย์เมนต์ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้อิเล็กทรอนอกส์เพย์เมนต์ รวมทั้งช่วยลดต้นทุนทางการเงินลงได้ เช่น ระบบพร้อมเพย์ที่ประเทศไทยริเริ่มเป็นประเทศแรกในเอเชีย ขณะนี้มีบัญชีพร้อมเพย์ 42 ล้านบัญชี และค่าธรรมเนียมปรับลดลงต่อเนื่อง

“เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย การแข่งขันที่เปิดกว้าง คนกลางจะหายไป ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กที่มีนวัตกรรมจะสามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดได้มากขึ้น นอกจากนี้ การใช้บิ๊กดาต้ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการบริหารจัดการความเสี่ยง และการพัฒนาธุรกิจ”นายวิรไทกล่าว