BAY คาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขาย 32.50-33.00 บาท/ดอลล์

HoonSmart.com>>กรุงศรีคาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 32.50-33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จับตามาตรการล็อคดาวน์ในยุโรป ลุ้นว่าที่ประธานเฟดคนต่อไป

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ เงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.50-33.00 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 32.68 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างสัปดาห์เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือน เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญ โดยเงินยูโรอ่อนค่าแตะระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน หลังออสเตรียประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง ท่ามกลางการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19

ขณะที่เยอรมนีอาจใช้มาตรการควบคุมโรคเช่นกัน ส่วนเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงแสดงความกังวลต่อผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยผู้กำหนดนโยบายบางรายสนับสนุนการเร่งปรับลดขนาดมาตรการเข้าซื้อสินทรัพย์ เพื่อให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยได้เร็วขึ้นหากการจ้างงานยังคงฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยมูลค่า 1,984 ล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตร 18,508 ล้านบาท

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า นักลงทุนจะให้ความสนใจกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในยุโรป ข้อมูลจีดีพีและค่าใช้จ่ายบริโภคส่วนบุคคลในสหรัฐฯ รายงานการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 2-3 พฤศจิกายน และการตัดสินใจของประธานาธิบดี โจ ไบเดนเกี่ยวกับประธานเฟด โดยสมมติฐานหลักของตลาดคือประธานพาวเวลล์ ซึ่งจะหมดวาระลงในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 จะได้ดำรงตำแหน่งต่ออีกหนึ่งสมัย อย่างไรก็ดี หากเบรนาร์ดซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกสภาผู้ว่าการของเฟดได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ มีความเสี่ยงที่ค่าเงินดอลลาร์จะย่อตัวลง ตามการคาดการณ์ว่าเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป

นอกจากนี้ ยังคงต้องติดตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและการคาดการณ์ทิศทางเงินเฟ้อ ส่วนสภาพคล่องการซื้อขายในตลาดโลกอาจต่ำลง ขณะที่สหรัฐฯเข้าสู่เทศกาลขอบคุณพระเจ้าในช่วงท้ายสัปดาห์

สำหรับปัจจัยในประเทศ กระทรวงพาณิชย์จะเผยแพร่ข้อมูลส่งออกนำเข้าเดือนตุลาคม ซึ่งคาดว่ายอดการส่งออกและนำเข้ายังคงขยายตัวสูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ประเมินเศรษฐกิจในปี 2565 จะเติบโต 3.5-4.5% อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปไกลกว่านั้น ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่าโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่ไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจอาจไม่แข็งแรงเหมือนเดิมในภาวะที่บริบทโลกเปลี่ยนไป โดยเฉพาะกระแสดิจิทัลและกระแสความยั่งยืน หากในระยะยาวไทยไม่ยกระดับประสิทธิภาพแรงงาน ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจจะเหลือเพียง 3% ต่อปี