เดลต้าฯ บินเหนือเมฆ ขึ้น DJSI ระดับโลก ตอกย้ำความเชื่อมั่น สถาบันไทย-ตปท.

HoonSmart.com>>”อนุสรณ์ มุทราอิศ” มอง”เดลต้า อีเลคโทรนิคส์” ติดกลุ่มดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ระดับโลกและตลาดเกิดใหม่ปี 64 เป็นครั้งแรก เพิ่มความเชื่อมั่นมากขึ้น แต่คงไม่มีผลต่อหุ้น เหตุสภาพคล่องไม่มาก สถาบันไทย ต่างประเทศ และสถาบันการเงินยังคงกอดหุ้นเหนียวแน่น ไม่สนหลุดออกจากการคำนวณดัชนี SET 50

นาย อนุสรณ์ มุทราอิศ กรรมการ บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ให้สัมภาษณ์ www.HoonSmart.com ว่า บริษัทเดลต้าฯได้รับเลือกให้เข้าเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI)ในกลุ่มดัชนีโลก( DJSI World) และติดกลุ่มดัชนีตลาดเกิดใหม่( DJSI Emerging Markets)ในปี 2564 เป็นครั้งแรก เกิดจากทีมงานศึกษาและพยายามมานาน เมื่อมีความพร้อมก็ยื่นสมัคร ซึ่งก็ได้รับเลือก ทำให้มีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น บริษัทมีการทำธุรกิจระดับโลก ขายในต่างประเทศเกือบ 100%

อย่างไรก็ตามการเข้า DJSI คงไม่มีผลต่อราคาหุ้นหรือการลงทุนมากนัก เพราะหุ้น DELTA มีสภาพคล่องไม่มาก ขณะเดียวกันผู้ถือหุ้นที่เป็นสถาบันไทย ต่างประเทศ และสถาบันการเงินยังคงเก็บหุ้นของบริษัทต่อไป แม้ว่ามีกระแสข่าวว่าหุ้น DELTA จะไม่ได้เลือกเข้าในการคำนวณดัชนี SET 50 และ SET 100 ก็ตาม

ด้านการซื้อขายหุ้น DELTA ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุน เห็นได้จากมูลค่าการซื้อขายสูง บางวันมากกว่า 3 พันล้านบาท แม้ว่าราคาจะปรับตัวลงต่ำกว่า 400 บาท แต่ก็มีการไล่ซื้อให้ราคาฟื้นขึ้นมาปิดที่ 404 บาท บวก 7 บาทหรือ +1.76% ด้วยมูลค่าการซื้อขายกว่า 712 ล้านบาท เมื่อวันที่ 12 พ.ย.2564ที่ผ่านมา

นักวิเคราะห์ 8 ใน 10 ยังคงแนะนำให้”ขาย” โดยบล.เอเซียพลัสตีมูลค่าให้ต่ำที่สุดเพียง 190 บาท ส่วนบล.โนมูระ พัฒนสินให้เป้าหมาย 345 ล้านบาท มองราคาหุ้นเทรดแพงไปที่ P/E 53 เท่า เลือก KCE เป็น top pick ของกลุ่ม ที่ราคาเป้าหมาย 87.7 บาท

นักวิเคราะห์บล.โนมูระ พัฒนสินมีมุมมองเชิงลบต่อผลงานไตรมาสที่ 3/2564 ที่มีกำไรสุทธิเพียง 1,191 ล้านบาท ลดลง 55% จากปีก่อนและลดลง 28% จากไตรมาสที่ 2/2564 ถือว่าต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก เนื่องจากมาร์จิ้นต่ำ และค่าใช้จ่ายสูง แถมมีรายการพิเศษ น้ำท่วมทำให้วัตถุดิบเสียหาย 393 ล้านบาท บริษัทย่อยตัดจำหน่ายสิทธิบัตร 187 ล้านบาท

ส่วนแนวโน้มในไตรมาสที่ 4 คาดกำไรปกติลดลง 30% จากปีก่อนและลดลงต่อ 22% จากไตรมาสที่ 3 แต่ยอดขายยังโดดเด่น คาดปีนี้กำไรสุทธิลดลง 12% อยู่ที่ 6,243 ล้านบาท และ ปี 2565 กำไรเพิ่มขึ้น 72% เป็น 10,735 ล้านบาท เนื่องจากคำสั่งซื้อยังคงเติบโต บริษัทมีฐานลูกค้าหลายกลุ่มทั้งกลุ่มรถยนต์ กลุ่มโทรคมนาคม รวมทั้งมีลูกค้าในหลายภูมิภาคทั้งยุโรป สหรัฐ และเอเชีย แต่ภาพลบคือต้นทุนที่สูงขึ้น