HMPRO มั่นใจรายได้ปี’ 64 โต Q4 นิวไฮ-ธุรกิจไฮซีซั่น

HoonSmart.com>> “โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์” คาดรายได้ปี 64 โตดีกว่าปีก่อน ช่วงไตรมาส 4 มั่นใจนิวไฮในรอบปี ธุรกิจเข้าไฮซีซั่น จ่อเปิดสาขาใหม่ 1 สาขาในเดือน พ.ย.นี้ ส่วนปี 65 เปิดสาขาเพิ่มอีกมาก คาดผลประกอบโตต่อเนื่อง เดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางออนไลน์ เพิ่มสินค้ามาร์จิ้นสูง

นายรักพงศ์ อรุณวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ กลยุทธ์และความยั่งยืน บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้ปี 2564 จะเติบโตกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 61,765 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกก็มีการเติบโตทั้งรายได้และกำไรสุทธิ อีกทั้งในไตรมาส 4 ปกติแล้วจะเป็นช่วงที่มีการจับจ่ายใช้สอยค่อนข้างมากอยู่แล้ว (ไฮซีซั่น) และคาดว่าไตรมาส 4/2564 จะสูงที่สุด (นิวไฮ) เมื่อเทียบกับไตรมาสอื่นๆในปี 2564

ขณะที่แผนการเปิดสาขาใหม่ บริษัทมีแผนจะเปิดสาขา HomePro 1 สาขา ในวันที่ 13 พ.ย.นี้ ส่วนปี 2565 คาดว่าจะเปิดสาขาเพิ่มขึ้นอีกมากในทุกๆรูปแบบที่มีอยู่ในประเทศไทย ทั้ง HomePro, HomePro S และ Mega Home จากปัจจุบันที่มีสาขาอยู่ที่ 86 สาขา, 7 สาขา และ 14 สาขา ตามลำดับ

ส่วนแนวโน้มในปี 2565 บริษัทคาดว่าจะมีการเติบโตที่ดีขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มทยอยฟื้นตัว หลังเริ่มเปิดการท่องเที่ยว ถึงแม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะยังไม่มากเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 แต่ก็ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยโดยรวมฟื้นตัวขึ้น

“เรามองว่าแนวโน้มอุตสาหกรรม Home Improvement ยังมีการเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ความต้องการบ้านใหม่ หรือการปรับปรุงบ้านก็ยังมีอยู่ตลอด เนื่องจากผู้คนคำนึงถึงการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ภายในบ้านที่ดี” นายรักพงศ์ กล่าว

สำหรับกลยุทธ์ในอนาคต บริษัทได้เริ่มปรับปรุงประสิทธิภาพของช่องทาง Omni Channel เพื่อเชื่อมต่อออนไลน์กับออฟไลน์เข้าด้วยกัน และทำให้ช่องทาง Omni Channel มีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยปัจจุบันช่องทางออนไลน์มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 6-7% อีกทั้งบริษัทก็เพิ่มสินค้าใหม่ๆ ที่เน้นพัฒนาเฉพาะสินค้าแบรนด์ของตัวเอง (Private Label) เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้ดียิ่งขึ้น จากปัจจุบันมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 25.4%

ด้านสาขาในต่างประเทศ ที่ประเทศเวียดนาม บริษัทมองว่าเป็นการเติบโตระยะยาว ช่วงนี้อยู่ระหว่างศึกษาพื้นที่ทำเลต่างๆ ที่เหมาะกับการเปิดสาขา จากปัจจุบันที่ขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ส่วนที่ประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันมีสาขารวม 7 สาขา มีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ก็ยังมีผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่ เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนยังอยู่ในระดับที่น้อย

นอกจากนี้แผนความยั่งยืน ในด้าน ESG บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์ที่ลดการใช้พลังงาน (ECO Product) ให้อยู่ในระดับ 50% ภายในปี 2568 จากปัจจุบันอยู่ที่ 39.1% และตั้งเป้าลดขยะ (Zero Waste) ให้ได้ 100% ภายในปี 2573 จากปัจจุบันทำได้ 94%