HoonSmart.com>>ธนาคารกลางสหรัฐมองเงินเฟ้อสูงชั่วคราว ไม่เร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดกังวล ลดวงเงินคิวอี 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ/เดือน หนุนเงินไหลกลับเข้าหุ้นอีกครั้ง ตลาดส่วนใหญ่ปิดบวก บอนด์ยีลด์ดีดขึ้นดีต่อแบงก์ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ขยับ หุ้นถ่านหิน-เดินเรือตีกลับ ต่างชาติไล่ซื้อกว่า 4 พันล้านบาท บล.เมย์แบงก์แนะหุ้นเปิดเมือง HMPRO, COM7, CPALL, CBG, JMT, ASK, KBANK, SCB,BBL ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย คาดมีโอกาสเห็นฟันด์โฟลว์ 1 แสนล้านบาทปีหน้า หากเศรษฐกิจโตเกิน 4%
วันที่ 4 พ.ย.2564 ตลาดหุ้นไทยเปิดติดลบก่อนตีกลับแรงปิดที่ 1,626.27 จุด เพิ่มขึ้น 14.35 จุดหรือ +0.89% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 85,650.24 ล้านบาท มาจากนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 4,396.30ล้านบาท สถาบันไทยช่วยซื้อ 1,606 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยกลับขายมากถึง 5,454 ล้านบาท
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามตลาดต่างประเทศ โดยตลาดเอเชียหลายแห่งปิดบวก ตอบรับเชิงบวกจากผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาตามคาด ลดวงเงินคิวอีเดือนละ 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จะเริ่มตั้งแต่เดือนพ.ย.และสิ้นสุดการเข้าซื้อประมาณกลางปี 2565 โดยยังไม่ส่งสัญญาณเร่งการปรับขึ้นเร็วอย่างที่ตลาดกังวลก่อนหน้านี้ เพราะมองว่าอัตราเงินเฟ้อที่สูงขณะนี้เป็นปัจจัยชั่วคราว เช่นเดียวกับธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็ไม่มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปี 2565
บล.กรุงไทย ซีมิโก้ระบุว่า แรงซื้อหุ้นธนาคารใหญ่นำตลาด KBANK,BBL และ SCB จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) ที่ดีดตัวขึ้นรวมถึงหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ กลุ่มถ่านหินตามราคาถ่านหินล่วงหน้า
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบที่รูดลงแรงกว่า 3% เมื่อคืนก่อน ระหว่างวันเด้งกลับ หนุนหุ้นกลุ่มพลังงานปิดบวกและทรงตัวต่อไปได้ เช่นเดียวกันหุ้นกลุ่มเดินเรือปรับตัวขึ้น หลังจากราคาลงแรงมากเกินไป ไม่ห่วงดัชนีค่าระวางเรือที่ร่วงลงต่อ ทั้งนี้ สัญญาณการปรับตัวของราคาถ่านหินล่วงหน้า ทั้ง Newcastle และตลาดเจิ้งโจว ส่งผลดีต่อหุ้นบริษัทบ้านปู (BANPU)
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ผลประชุมเฟดเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ลดวงเงินคิวอีเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ แบ่งออกเป็นลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลเดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์ และลดการซื้อ Agency MBS อีก 5,000 ล้านดอลลาร์ โดยยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย คาดว่าในครึ่งแรกของปี 2565 ตัวเลขเงินเฟ้อจะปรับตัวลดลงมา ซึ่งอาจจะเป็นจังหวะในการขึ้นดอกเบี้ยประมาณ 1-2 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง
ทิศทางของเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ อาจจะไม่ได้เข้ามาเพราะปัจจัยของการลดคิวอี แต่เข้ามาด้วยปัจจัยการฟื้นตัวในประเทศ หลังเปิดรับนักท่องเที่ยวได้ คาดว่าทิศทางของ Fund Flow อาจจะมีเข้ามาบ้าง แต่ในเชิงของ Valuation ตลาด ณ ปัจจุบันก็ค่อนข้างตึงตัว
สำหรับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปัจจุบันยังแกว่งตัวในระดับสูง ถึงแม้จะมีย่อลงมาบ้าง ก่อนจะรีบาวด์กลับขึ้นไป ส่วนการประชุมโอเปกคืนนี้ คาดว่าจะมีการปรับขึ้นกำลังการผลิตอีก 400,000 บาร์เรลต่อวัน ตามที่คาดไว้ แต่จะไม่กระทบต่อกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากความต้องการยังอยู่ในระดับสูง และเตรียมตัวเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ซึ่งมีการใช้พลังงานค่อนข้างมาก แต่การลงทุนยังไม่แนะนำ มองว่ากลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวมีความน่าสนใจมากกว่า แนะนำ HMPRO, COM7, CPALL, CBG, JMT, ASK, KBANK, SCB และBBL
ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า การที่เฟดจะเริ่มลดคิวอีกเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นน้อยมาก อีกทั้งตลาดเอเชียยังปรับตัวสวนขึ้นบวก เนื่องจากประธานเฟดเน้นย้ำไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย จะขึ้นก็ต่อเมื่อช่วงเวลานั้นเหมาะสม หรือ ในกรณีที่ตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ ฟื้นตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน
ส่วนเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศคาดว่าจะซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง หลังจากซื้อติดต่อกันเดือนที่ 3 ในเดือน ต.ค. ซื้อสุทธิกว่า 15,773.15 ล้านบาท เพราะตลาดยังมีจุดเด่นเรื่องเศรษฐกิจฟื้นตัว
“เชื่อว่า Fund Flow มีโอกาสเข้ามาอีกเยอะ แม้ภาคการท่องเที่ยวต้องกลับมาฟื้นตัว และช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือปี 2565 เศรษฐกิจต้องโตเกิน 4% ถึงจะเห็นตัวเลขของ Fund Flow เข้ามาในระดับ 100,000 ล้านบาท แต่สภาพแวดล้อมของปัจจัยต่างประเทศต้องไม่แย่ด้วย” นายไพบูลย์ กล่าว
ด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามต่อ ทั้งราคาน้ำมันดิบ ราคาก๊าซธรรมชาติ ราคาถ่านหิน อีกทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่อาจชะลอตัวจากการขาดแคลนพลังงานในประเทศ ก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาพลังงานอยู่ในระดับสูง