HoonSmart.com>> “บล.คิงส์ฟอร์ด” คาดดัชนีเคลื่อนไหวกรอบแนวรับ 1,605 – 1,610 จุด แนวต้าน 1,625 – 1,630 จุด รอเฟด
แนะซื้อ SCB-AH เก็งกำไร BDMS
บริษัทหลักทรัพย์คิงส์ฟอร์ด มองแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ ประเมินดัชนี SET เคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 1,605 – 1,610 จุด แนวต้าน 1,625 – 1,630 จุด ระหว่างรอผลประชุม Fed แนะนำซื้อ SCB ราคาเหมาะสม 139 บาท รับโอกาส ROE ในอนาคตสูงขึ้นจากรุกธุรกิจ Fintech และ Spin-Off บริษัทลูก/ ซื้อกลุ่มนิคม WHA, AMATA(+เปิดเศรษฐกิจ
ด้านดัชนีหุ้นสหรัฐวานนี้ปิดทำจุดสูงใหม่ได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการ บจ. Q3/64 ดีกว่าคาด โดย Refinitiv คาดกำไร Q3/64บจ.ใน S&P500 +38.6% YoY และคาดกำไร Q4/64 ขยายตัวต่อเนื่องที่ +22.2% YoY แม้ว่าวัตถุดิบ, ราคาพลังงาน และปัญหาขาดแคลนชิปจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แต่บริษัทต่าง ๆ ยังสามารถปรับขึ้นราคาขายได้ แต่หากเงินเฟ้อสูงขึ้นนานกว่าคาด อาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อผู้บริโภคและกำไร บจ.ได้ เช่นเดียวกับดัชนี Stoxx600 ยุโรปปรับขึ้นจากคาดกำไร บจ. Q3/64 +52% YoY
ปัจจัยสำคัญค่ำวันนี้ติดตามผลการประชุมเฟดเริ่มลด QE จากเดิมซื้อสินทรัพย์เดือนละ 1.2 แสนล้านดอลลาร์คาดเริ่มลดราว 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน จนถึงกลางปี 65 และแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่ง CME Fedwatchคาดมีโอกาส 50% จะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ใน มิ.ย. 65 โดยนักลงทุนรอติดตามเฟดจะส่งสัญญาณตึงตัวมากกว่านี้หรือไม่
ขณะที่วันพรุ่งนี้การประชุม BOE อังกฤษคาดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยราว 0.15% เพื่อสกัดเงินเฟ้ออังกฤษปีนี้คาดสูงกว่าระดับ 4% ส่งผลให้วานนี้ Fund Flow ในตลาดอาเซียน (TIP) ขายสุทธิ -31.15 ล้านดอลลาร์
สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ AH (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.70 บาท) แนวโน้มของผลการดำเนินงานในช่วง 3Q64 คาดว่าจะชะลอตัวลง QoQ จากผลกระทบของปัญหาการขาดแคลนชิป ทำให้การผลิตรถยนต์ของค่ายรถต่างๆ ทั่วโลกเกิดความล่าช้าขึ้น ส่งผลต่ออุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่จะส่งมอบงานชิ้นส่วนรถยนต์ให้กับลูกค้าที่ชะลอลงด้วย อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่าในช่วง 4Q64 ปัญหาการขาดแคลนชิปจะค่อยๆ คลี่คลายลง และจะทำให้การผลิตรถยนต์กลับมาผลิตได้ใกล้เคียงกับช่วงปกติมากขึ้น
อีกทั้งยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศปีนี้ยังมีทิศทางที่เป็นบวกจากการปรับเพิ่มประมาณการยอดผลิตรถยนต์เป็น 1.55-1.6 ล้านคัน โดยมีปัจจัยหนุนจากยอดการผลิตรถยนต์ส่งออกที่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวกลับมาของประเทศค้า โดยเราประมาณการกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 1.1 พันล้านบาท +657% YoY และ 1.2 พันล้านบาท +10%YoY โดย valuation ปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ต่ำเพียง 6.9 เท่า
หุ้น BDMS (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท) ประเมินผลประกอบการงวด 3Q64 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,166 ลบ. (+20.31 YoY, +49.19% QoQ) การดำเนินงานโดยรวมสามารถฟื้นตัวได้อย่างชัดเจน อัตราการครองเตียงของผู้ป่วยในช่วง 3Q64 จะปรับตัวสูงขึ้นต่อจาก 2Q64 จากการรักษา Covid-19 นอกจากนี้ยังมีรายได้เสริมจาก 1.การตรวจเชื้อ Covid-19 (ประเมินที่ 3,000-6,000 เคส/วัน สร้างรายได้ก่อน 1 ส.ค.64 ที่ 2,300 บาท/เคส หลังจากนั้น 1,700 บาท/เคส) 2.การทำ Hospitel > 5,000 เตียง
ขณะที่ 4Q64 จะได้แรงบวกเพิ่มเติมจากการเปิดประเทศในเดือน พ.ย.64 (สัดส่วนรายได้ต่างชาติปกติของ BDMS อยู่ที่ 30% และเป็น Fly-in ราว 15%) หนุนให้แนวโน้มกำไรสุทธิในปีหน้าเติบโตในระดับปกติได้อีกครั้ง outweight ปัจจัยบวกจากรายได้ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับโรคระบาด Covid-19