KKP Research คาดเศรษฐกิจไทยปี 65 โต 3.9% จับตา 5 ปัจจัยเสี่ยง

HoonSmart.com>>KKP Research คาดเศรษฐกิจไทยปี 2565 โต 3.9% หลังเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ สิ้นปี 64 อัตราการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มอยู่ที่ 60% ของประชากร จับตาปัจจัยเสี่ยงปีหน้า การระบาดในประเทศรอบใหม่, การฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยว ,อัตราเงินเฟ้อ ,เศรษฐกิจจีน และทิศทางอัตราดอกเบี้ยไทย

KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร คาดเศรษฐกิจไทยปี 2565 โต 3.9% เริ่มฟื้นตัว โดยเศรษฐกิจยังอยู่ต่ำกว่าระดับก่อนโควิด-19 จนถึงปี 2566 แม้เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และมีอัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติอาจกลับมาได้อย่างช้า ๆ และการฟื้นตัวยังคงมีความเสี่ยง โดยความเสี่ยงสำคัญในปี 2022 คือการระบาดในประเทศรอบใหม่ที่อาจเกิดขึ้น การฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยว อัตราเงินเฟ้อ เศรษฐกิจจีน และทิศทางอัตราดอกเบี้ยไทย

การเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ นับเป็นการปรับเปลี่ยนทิศทางเชิงนโยบายครั้งสำคัญของภาครัฐไปสู่นโยบาย “อยู่ร่วมกับโควิด” (Living with Covid) แต่ข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศที่ยังมีอยู่มาก ทั้งมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าออกเพื่อการท่องเที่ยวของประเทศต้นทาง จำนวนเส้นทางบินที่ลดลงจากธุรกิจการบินที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงโควิด รวมถึงนักท่องเที่ยวจีนที่จะยังคงหายไปตลอดช่วงครึ่งปีแรกเป็นอย่างน้อย ส่งผลให้การฟื้นตัวเป็นไปได้อย่างจำกัดก่อนที่จะทยอยกลับมาคึกคักมากขึ้นช่วงครึ่งหลังของปี2565 โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศทั้งปีประมาณ 5.8 ล้านคน

KKP Research ประเมินว่าภายในสิ้นปีนี้ ไทยจะมีอัตราการรับวัคซีนครบ 2 เข็ม ราว 60% ของประชากร และฉีดวัคซีนครบจำนวนโดสได้เกิน 70-80% ในไตรมาส 1 ของปีหน้า ปัจจุบันจำนวนผู้ได้รับวัคซีนครบจำนวนโดส (2 เข็ม) ทั่วประเทศยังน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของประชากร ดังนั้นความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงยังมีอยู่หลังมีการผ่อนคลายข้อจำกัดต่าง ๆ แต่อัตราการฉีดวัคซีนที่สูงขึ้นเป็นลำดับจะช่วยลดความเสียหายและแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุขได้

การท่องเที่ยวจะยังมีข้อจำกัดด้านการฟื้นตัวในปีหน้าหลังเปิดประเทศ จาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ (1) การคงมาตรการจำกัดการเดินทางของประเทศต้นทาง (2) นักท่องเที่ยวจีนที่จะหายไปตลอดครึ่งปีแรกและอาจยังไม่กลับมากระทั่งปลายปี จากนโยบายควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดของทางการจีน และ (3) การเดินทางโดยเครื่องบินที่จะยังเป็นอุปสรรคสำคัญ ทั้งจากจำนวนและเส้นทางเที่ยวบินที่ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะเส้นทางบินระยะไกล

นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเพิ่มเติมที่ต้องจับตาอีก 3 ประการ ได้แก่ (1) ความเสี่ยงอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว (2) การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และ (3) ทิศทางอัตราดอกเบี้ยไทยที่อาจถูกกดดันจากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา