๐ ตลาดคาดว่าเฟดจะประกาศลดวงเงินการอัดฉีดสภาพ คล่อง (QE Tapering) ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ในคืนวันที่ 3 พ.ย.
๐ เรามองว่าตลาดรับรู้ประเด็นการลดวงเงิน QE ไปมากแล้ว หลังจากนี้ตลาดน่าจะให้น้ำหนักไปที่มุมมองเงินเฟ้อและการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดมากกว่า
๐ สหรัฐฯ รายงาน GDP ไตรมาส 3 ที่ 2.0% QoQ ต่ำกว่า ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 2.6% QoQ
๐ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ หรือหุ้นกลุ่ม FAAMG มีกำไรสุทธิต่อหุ้นเติบโตค่อนข้างมากในไตรมาส 3 (ยกเว้น Amazon)
๐ ติดตามการประชุม COP26 การประชุมที่จะมีผู้นำจาก ทั่วโลกมาร่วมกันเสนอเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการบรรลุ Net Zero Emission ภายในปี 2593
Highlighted Funds
MGF
: เรามองว่าหุ้นเติบโตจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นคุณค่า ในช่วงกลางวัฏจักร (Mid-Cycle) และสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด โดยเฉพาะหุ้นเติบโตที่มีคุณภาพดี (Quality Growth Stock) เนื่องจากหุ้นประเภทนี้จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูง ขณะเดียวกันก็มีกำไรและรายได้เติบโตสม่ำเสมอ
MRENEW
: หุ้นในกลุ่มพลังงานสะอาดที่เป็นหนึ่งในธีมการลงทุนของกองทุนหลัก ราคาหุ้นได้มีการปรับตัวลง จนทำให้ปัจจุบันมี Valuation ที่น่าสนใจอีกครั้ง สังเกตได้จากค่า Forward P/E ของดัชนี S&P Global Clean Energy Index ที่เป็นดัชนีชี้วัดของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ที่ลงมาอยู่บริเวณค่าเฉลี่ยในรอบ 2 ปี
MEURO
: นักวิเคราะห์คาดการณ์ ปี 2564 ตลาดหุ้นยุโรปจะมีการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) สูงกว่าภูมิภาคอื่น มีกำไรเติบโตสูงถึง 55%YoY นอกจากนี้ Valuation ของตลาดหุ้นยุโรปยังถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดย Relative Forward P/E ของดัชนี FTSE World Europe ex UK และดัชนี S&P500 ปัจจุบันอยู่ที่ -1S.D.
MCBOND
: ตราสารหนี้ภาคเอกชนจีนยังมีอัตราผลตอบแทน (Yield) สูงกว่าตราสารหนี้ภาคเอกชนสหรัฐฯ และมีความสัมพันธ์กับตราสารหนี้สหรัฐฯ ในระดับต่ำ ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีหากเฟดเริ่มลดการอัดฉีดสภาพคล่อง ซึ่งกองทุนมีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้เฉลี่ย BBB อยู่ในระดับ Investment Grade
Investment Strategy
ตลาดรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ในคืนวันที่ 3 พ.ย. โดยตลาดคาดว่าเฟดจะประกาศลดวงเงินการอัดฉีดสภาพคล่ิอง (QE Tapering) เดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเริ่มเดือน ธ.ค. 2564 ไปจนถึงเดือน ก.ค. 2565 และตามมาด้วยการขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งในปี 2565 อย่างไรก็ตาม เรามองว่าตลาดรับรู้ประเด็นการลดวงเงิน QE ไปมากแล้ว หลังจากนี้ตลาดน่าจะให้น้ำหนักไปที่มุมมองเงินเฟ้อและการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดมากกว่า
นอกจากนี้ตลาดยังรอฟังแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ของนายเจอโรม พาวเวล หลังจากที่ไตรมาส 3 สหรัฐฯรายงาน GDP อยู่ที่ 2.0%QoQ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 2.6%QoQ ซึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า และการขาดแคลนวัตถุดิบในภาคการผลิต ทำให้ยอดขายรถยนต์และตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลงในไตรมาสนี้
ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปได้มีการประชุมไปก่อนหน้าเฟด โดยผลการประชุมยังอยู่ในโทนที่ค่อนข้าง Dovish ถึงแม้ว่าเงินเฟ้อของยุโรป CPI เดือน ต.ค. จะทำจุดสูงสุดในรอบ 13 ปี ที่ระดับ 4.1%YoY แต่นางคริสติน ลาการ์ด ก็ยังไม่ได้แสดงถึงความกังวล และมองว่าเงินเฟ้อจะทยอยลดลงในช่วงต้นปีหน้า (ภาพที่ 3) ทั้งนี้อีซีบียังคงซื้อพันธบัตรวงเงิน 2 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนในโครงการ APP และซื้อพันธบัตรในโครงการ PEPP ไปจนถึงเดือน มี.ค. 2565
ติดตามการประชุม COP26 การประชุมที่จะมีผู้นำจากทั่วโลกมาร่วมกันเสนอเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการบรรลุ Net Zero Emission ภายในปี 2593 ซึ่งครั้งนี้เรามองว่ารัฐบาลทั่วโลกจะดำเนินมาตรการลดภาวะโลกร้อนอย่างจริงจังและเข้มข้นกว่าทุกการประชุมที่ผ่านมา ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคและพฤติกรรมของนักลงทุนมุ่งไปสู่เทคโนโลยีพลังงานสะอาดมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสการลงทุนสำหรับหุ้นในธีมพลังงานสะอาด ที่จะมาแทนที่หุ้นพลังงานแบบเก่าอย่างกองทุน MRENEW