BBL แกร่ง 9 เดือนปีนี้ กำไร 20,189 ล้านบ. เพิ่ม 36.6% สินเชื่อ-เงินกองทุนโต

HoonSmart.com>>”ธนาคารกรุงเทพ” เปิดผลงานเด่น ไตรมาส 3/64 กำไรสุทธิ 6,909.20 ล้านบาท พุ่งขึ้น 71.98% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน และเติบโต  8.69% เทียบไตรมาสที่ 2/64  จากรายได้ดอกเบี้ยเพิ่ม 4.6% หลังรวมผลงานเพอร์มาตาแบงก์ ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นถึง 27.6% รวม 9 เดือนปีนี้ สินเชื่อโต 6.6% จากลูกค้าธุรกิจรายใหญ่-กิจการต่างประเทศ ฐานะการเงิน สภาพคล่องแกร่ง ตั้งสำรองอย่างต่อเนื่องรับมือความไม่แน่นอน ช่วยเหลือและดูแลลูกค้า ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ ประคับประคองให้ทุกภาคส่วนฟื้นตัวจากวิกฤตได้

ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 3/2564 มีกำไรสุทธิ 6,909.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,891.70 ล้านบาท พุ่งขึ้น 71.98% เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,017.50 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นจำนวน 552.43 ล้านบาทหรือ 8.69% จากไตรมาสที่ 2/2564 มีกำไรสุทธิ 6,356.77 ล้านบาท  รวม 9 เดือนปีนี้ มีกำไรทั้งสิ้น 20,189.07 เพิ่มขึ้น 5,406.08 ล้านบาท คิดเป็น 36.6% เทียบกับกำไรสุทธิ 14,782.99 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน

ในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมาตรการปิดเมืองที่เข้มงวด ทำให้การบริโภคและการใช้จ่ายภาคเอกชนลดลงตามกำลังซื้อที่อ่อนแอ แม้รัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาช่วยชดเชยรายได้และพยุงกำลังซื้อไว้บางส่วน

นอกจากนี้เศรษฐกิจยังได้รับผลจากข้อจำกัดด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำ และการส่งออกที่เริ่มชะลอตัวตามอุปสงค์ของประเทศคู่ค้า ซึ่งชะลอลงตามการระบาดในต่างประเทศที่มีความรุนแรงยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ในช่วงต้นเดือนก.ย. จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เริ่มลดลงและผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วเพิ่มขึ้นตามลำดับ รัฐบาลจึงเริ่มผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองบางส่วน ทำให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จะยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยนโยบายสนับสนุนของภาครัฐจะมีส่วนสำคัญในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ และประคับประคองให้ทุกภาคส่วนสามารถฟื้นตัวจากวิกฤตได้

ธนาคารกรุงเทพได้สนับสนุนมาตรการของภาครัฐและช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งดูแลลูกค้าอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับลูกค้าแต่ละราย ครอบคลุมทั้งลูกค้าธุรกิจ และลูกค้าบุคคล ขณะเดียวกันธนาคารได้ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพฐานะการเงิน สภาพคล่องและเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง

ในช่วง 9 เดือนปี 2564 ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 4.6% จากการรวมรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารเพอร์มาตาตั้งแต่เดือนพ.ค. 2563 รวมถึงการลดลงของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากการบริหารต้นทุนเงินรับฝาก โดยมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 2.10%

สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 27.6% ส่วนใหญ่มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นจากค่าธรรมเนียมจากธุรกิจหลักทรัพย์ ค่าธรรมเนียมจากการอำนวยสินเชื่อ รวมถึงกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นไปตามสภาวะตลาด

ส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 4.6% ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานลดลงเป็น 48.4% ทั้งนี้ ธนาคารยังคงยึดหลักความระมัดระวังในการตั้งสำรอง โดยพิจารณาปัจจัยผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า

ธนาคารกรุงเทพยังคงดำรงฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ตามแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ เพื่อรองรับผลกระทบจากเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้าและยังคงมีความไม่แน่นอน

ณ สิ้นเดือนก.ย. 2564 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,523,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  6.6% จากสิ้นปี 2563 จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่และสินเชื่อกิจการต่างประเทศ สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่  3.7 % ทั้งนี้ ธนาคารยังคงตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับผลกระทบจากเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้าและยังคงมีความไม่แน่นอน ส่งผลให้อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 198.9%

ธนาคารมีเงินรับฝาก จำนวน 3,124,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.2% จากสิ้นปีก่อน เป็นผลจากการที่ลูกค้ายังคงต้องการดำรงสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงในภาวะที่มีความไม่แน่นอน ทำให้อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 80.8% นอกจากนี้ ในเดือนก.ย. 2564 ธนาคารออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิ อายุ 15 ปี ที่สามารถนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ภายใต้หลักเกณฑ์ Basel III จำนวน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเสริมสร้างโครงสร้างเงินกองทุนของธนาคารให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดย ณ สิ้นเดือนก.ย.2564 อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ 19.7% 16.1% และ 15.3% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด