“ทริสเรทติ้ง” ประกาศคงเครดิต “อาปิโก ไฮเทค” ระดับ BBB+ พร้อมปรับแนวโน้มเครดิตเป็นบวก จาก คงที่ สะท้อนแนวโน้มธุรกิจและกำไรดีขึ้น
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ในขณะเดียวกันยังปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Positive” หรือ “บวก” จาก “Stable” หรือ “คงที่” ด้วย โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนแนวโน้มธุรกิจและผลกำไรของบริษัทที่ดีขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้นและอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะอยู่ในระดับไม่เกิน 40%
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานภาพการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในการเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในกลุ่ม Tier 1 ในประเทศไทย ตลอดจนรายได้จากการลงทุนในบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น และการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวลดทอนลงบางส่วนจากอัตรากำไรที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ ตลอดจนลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของอุตสาหกรรมรถยนต์ นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงระดับการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากการขยายธุรกิจไปในต่างประเทศซึ่งประกอบด้วยการลงทุนใน Sakthi Global Auto Holdings Ltd. (SGAH) และโอกาสในการเข้าร่วมลงทุนกับ VINFAST Trading & Production LLC (VINFAST) ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ระดับ 40% และจะค่อย ๆ ลดต่ำลง โดยบริษัทยังไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า อนึ่ง การลงทุนกับคู่ค้าต่างประเทศถือเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับบริษัท
ทริสเรทติ้ง คาดว่าบริษัทจะยังคงความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เอาไว้ได้ โดยธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์สร้างรายได้ 60%-70% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท แม้อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศมีอัตราการเติบโตที่ไม่ค่อยสูงนักในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่รายได้ของบริษัทก็ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทสั่งสมมาจากประวัติการดำเนินงานที่มีมาอย่างยาวนานในการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เพื่อป้อนให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์หลาย ๆ รายโดยที่บริษัทไม่เคยมีประวัติในการสูญเสียคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหญ่ การดำเนินงานของบริษัทที่ไว้ใจได้ประกอบกับความน่าเชื่อถือของบริษัทก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างบริษัทและผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำ เช่น บริษัท อีซูซุ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (อีซูซุ) บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (ออโต้อัลลายแอนซ์) ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าระหว่างฟอร์ดและมาสด้า และ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (นิสสัน) ในขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์เหล่านี้ก็ไม่ค่อยเปลี่ยนตัวผู้ผลิตชิ้นส่วนหลักเนื่องจากมีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง ทั้งนี้ บริษัทเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนโครงช่วงล่างรถกระบะแต่เพียงรายเดียวของอีซูซุในประเทศไทย ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงได้รับคำสั่งผลิตอย่างต่อเนื่องจากอีซูซุซึ่งรวมถึงโมเดลรถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2563 โดยโมเดลรถใหม่นี้จะช่วยประกันรายได้ให้แก่บริษัทในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ทริสเรทติ้ง เชื่อว่ากลยุทธ์ของบริษัทที่จะขยายธุรกิจไปในระดับโลกจะช่วยกำจัดข้อจำกัดของโอกาสในการเติบโตได้ ทั้งนี้ แม้ว่าพื้นฐานของอุตสาหกรรมรถยนต์ภายในประเทศจะแข็งแกร่งจากการมีห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็งและการสนับสนุนจากภาครัฐ แต่อัตราการเติบโตก็ยังอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งเป็นการยากสำหรับบริษัทที่จะมีอัตราการเติบโตในระดับที่สูงกว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ภายในประเทศเนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนตัวผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์
ก้าวที่สำคัญของบริษัทในการเข้าสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ระดับโลกคือการเข้าลงทุนใน SGAH และโอกาสในการร่วมลงทุนกับ VINFAST ซึ่งนอกจากการได้ผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว การลงทุนดังกล่าวยังเปิดโอกาสให้บริษัทเข้าสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ระดับโลกอีกด้วย โดย SGAH มีฐานลูกค้าอยู่ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ อินเดีย โปรตุเกส และจีน นอกจากนี้ ความร่วมมือกันในอนาคตก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นเพราะต่างฝ่ายก็มีความเชี่ยวชาญในชิ้นส่วนรถยนต์ต่างประเภทกัน
ความร่วมมือกับคู่ค้าต่างประเทศเริ่มปรากฏเป็นรูปธรรมหลังจากที่บริษัทได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการเข้าร่วมลงทุนกับ VINFAST ในช่วงกลางปี 2561 โดยกิจการร่วมค้าที่จัดตั้งขึ้นจะประกอบธุรกิจผลิตชิ้นส่วนตัวถังรถยนต์สำหรับรถยนต์ 2 รุ่นแรกของ VINFAST ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของกิจการร่วมค้าดังกล่าวจะรวมเข้ากับผลการดำเนินงานของบริษัทเนื่องจากบริษัทจะเป็นผู้รับผิดชอบบริหารการผลิตทั้งหมดของกิจการร่วมค้า ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของกิจการร่วมค้าจะเริ่มมีผลชัดเจนต่องบการเงินของบริษัทหลังจากปี 2562 เป็นต้นไป ทั้งนี้ อาจมีค่าใช้จ่ายก่อนเริ่มดำเนินงานของกิจการร่วมค้าดังกล่าวในปีหน้าแต่ไม่น่ากระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ก่อนที่การดำเนินงานของกิจการร่วมค้าจะเริ่มขึ้น บริษัทจะเป็นผู้ผลิตและจัดส่งอุปกรณ์จับยึดและแม่พิมพ์มูลค่าประมาณ 1,700 ล้านบาทให้แก่ VINFAST ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่บริษัทในปี 2562
การลงทุนใน SGAH และการร่วมลงทุนกับ VINFAST ในรูปกิจการร่วมค้า ถือเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัทในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ การลงทุนใน SGAH เริ่มสร้างผลตอบแทนในรูปของส่วนแบ่งกำไรและดอกเบี้ยรับบ้างแล้ว ส่วนการร่วมลงทุนกับ VINFAST นั้นเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับบริษัทเนื่องจากทั้งบริษัทและ VINFAST ถือว่าเป็นหน้าใหม่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศเวียดนาม ทั้งนี้ ความสำเร็จในการขยายธุรกิจสู่ตลาดรถยนต์ระดับโลกจะเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัท
ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้และกำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยแนวโน้มเชิงบวกของตลาดรถยนต์ภายในประเทศรวมถึงการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศจะช่วยหนุนการเติบโต ตามประมาณการของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 17,000-19,000 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้าจากประมาณ 16,000 ล้านบาทในปี 2560 คำสั่งผลิตจากลูกค้าในประเทศและคำสั่งผลิตอุปกรณ์จับยึดและแม่พิมพ์สำหรับรถยนต์ของ VINFAST จะช่วยหนุนรายได้ให้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ประมาณการของทริสเรทติ้งดังกล่าวยังไม่รวมรายได้จากการขายชิ้นส่วนตัวถังรถยนต์ที่จะมาจากการร่วมลงทุนกับ VINFAST
ถึงแม้ว่าอัตรากำไรของบริษัทจะค่อนข้างต่ำ แต่ความสามารถของบริษัทในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการผลักภาระต้นทุนวัตถุดิบไปให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์จะช่วยรักษาอัตรากำไรให้มั่นคงและคาดการณ์ได้ อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจากความพยายามในการดำเนินมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรของบริษัทจะเพิ่มมากขึ้นในระยะเวลาไม่กี่ปีข้างหน้าจากการเพิ่มขึ้นของรายได้และผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน
ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 9%-10% ในช่วง 3 ปีข้างหน้าจาก 7%-9% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นน่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยได้ นอกจากนั้น ส่วนแบ่งกำไรและดอกเบี้ยรับจะเพิ่มสูงขึ้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการลงทุนใน SGAH กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,000-2,500 ล้านบาทในช่วงปี 2561-2563 จาก 1,300-2,000 ล้านบาทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,600-1,900 ล้านบาทจาก 1,000-1,400 ล้านบาท
นอกจากนี้คาดว่าการร่วมลงทุนกับ VINFAST จะทำให้ระดับการก่อหนี้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย บริษัทคาดว่ากิจการร่วมค้าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,800 ล้านบาทในช่วงปี 2561-2562 ในการจัดตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนโลหะปั๊มขึ้นรูปและประกอบตัวถังรถยนต์ในประเทศเวียดนาม โดยกิจการร่วมค้าจะใช้เงินทุนจากการก่อหนี้ 50% และจากการใช้ส่วนทุนอีก 50% ดังนั้น บริษัทจะมีหนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 900 ล้านบาทเข้ามาในงบดุลภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งว่าจะมีการนำผลการดำเนินงานของกิจการร่วมค้าเข้ามารวมกับของบริษัท เนื่องจากบริษัทยังไม่มีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ ดังนั้น อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจึงไม่น่าจะเพิ่มขึ้นจนเกินกว่า 40% ในช่วง 3 ปีข้างหน้าจากระดับ 36.3% ในเดือนมิถุนายน 2561 ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของกำไรจะช่วยรักษาอัตราส่วนเงินกู้ต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายไว้ที่ 2-3 เท่า ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะอยู่ในระดับ 30%-40% ในช่วงปี 2561-2563
ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการสภาพคล่องได้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า บริษัทมีหนี้ประมาณ 940 ล้านบาทที่จะครบกำหนดในอีก 6 เดือนที่เหลือของปี 2561 โดยเป็นหนี้ระยะสั้นที่ใช้รองรับเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 540 ล้านบาทและเป็นหนี้ระยะยาวอีกประมาณ 400 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ เดือนมิถุนายน 2561 บริษัทมีวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้รวมกับเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดอีกประมาณ 3,600 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินสดดังกล่าวน่าจะเพียงพอสำหรับรองรับภาระหนี้ที่จะครบกำหนด
ข้อกำหนดหุ้นกู้ที่สำคัญระบุให้บริษัทต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินรวมสุทธิต่อส่วนทุนไว้ที่ไม่เกิน 2.0 เท่า ซึ่ง ณ เดือนมิถุนายน 2561 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.9 เท่า ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติได้ตามข้อกำหนดในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า
แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงแนวโน้มธุรกิจและผลกำไรของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้น ความสามารถในการทำกำไรน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผลการดำเนินงานของบริษัทที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและรายได้จากการลงทุนในบริษัทร่วมที่เพิ่มมากขึ้น ทริสเรทติ้งมองว่าการลงทุนกับคู่ค้าต่างประเทศเป็นได้ทั้งโอกาสและความเสี่ยง โดยที่ความสำเร็จของในลงทุนดังกล่าวจะเป็นผลบวกต่ออันดับเครดิต
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โดยอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงปรับตัวดีขึ้นและ/หรือบริษัทประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดใหม่ ๆ ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากอัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลงต่ำกว่า 5% หรืออัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนสูงกว่า 50% เป็นระยะเวลานาน