‘ดีบีเอส’ ชี้เป้าดัชนีปีหน้า 1,848 เชียร์ 10 หุ้นเด่น เพิ่มตลาดสหรัฐ

HoonSmart.com>>บล.ดีบีเอสฯ มั่นใจหุ้นปี 65 ยังสดใส ดัชนีมีลุ้นสทะยานถึง 1,848 จุด เศรษฐกิจฟื้น หนุนบจ.กำไรต่อหุ้นโต 10% เน้นบริษัทปรับธุรกิจโตยั่งยืน ชู 5 หุ้นเด่น BDMS,KBANK,PTT,HFT,GPSC ส่วนธีมเปิดเมือง ราคายังต่ำกว่าก่อนเกิดโควิด แนะนำ MINT,AOT,CPN,HMPRO,BTS จับตา 12 ปัจจัยเสี่ยง  คาดดอลลาร์แข็งถึงต้นปี 65 ชวนจัดพอร์ตทุกสินทรัพย์ระยะ 12 เดือนข้างหน้า เชียร์เพิ่มน้ำหนักหุ้นสหรัฐ-เอเชียไม่รวมญี่ปุ่น-ทองคำ สอคคล้องกับค่ายไทยพาณิชย์ สะสมหุ้นสหรัฐ – ยุโรป 

วันที่ 7 ต.ค. 2564 บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จัดสัมมนาออนไลน์ DBSV Quarterly Review 4Q21 เรื่อง“ส่งพลังวัคซีนฝ่าด่าน QE สู่ดัชนี 1700” โดยนางอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทให้เป้าหมายดัชนีหุ้นปี 2564 ที่ระดับ 1,695 จุด กำไรต่อหุ้นตลาดเท่ากับ 87.85 บาท เติบโตสูงถึง 115% เพราะเทียบกับฐานต่ำของกำไรกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมีในปีก่อน หากไม่รวม กำไรต่อหุ้นจะโตเพียง 7% ส่วนเป้าหมายปี 2565 คาดดัชนีไว้ที่ 1,848 จุด กำไรต่อหุ้นของตลาดเท่ากับ 75.76 บาท เติบโต 9% ไม่รวมพลังงาน-ปิโตร โต 10% คาดว่านักลงทุนต่างประเทศจะเข้ามาลงทุน แต่ทุกครั้งที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ปรับเปลี่ยนนโยบาย นักลงทุนจะดึงเงินกลับไปตลาดประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งอาจจะใช้เวลา 1-2 เดือน เมื่อเริ่มนิ่ง เงินก็จะไหลกลับมาแล้ว มองแนวโน้มดอลลาร์แข็งต่อไปถึงต้นปี 2565

ส่วนตลาดหุ้นในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ไทยดีเกินคาดเพิ่มขึ้น 11% เทียบกับเอเชีย+6% ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 8% ไทยโตเหมือนฝั่งสหรัฐ เพราะโครงสร้างตลาดมีสินค้าโภคภัณฑ์มาก เช่น เหล็ก รวมถึงสถานการณ์โควิดส่งผลดีต่อธุรกิจบรรจุภัณฑ์ โรงพยาบาลกลางและเล็ก กำไร All Time High คาดว่าจะขึ้นสูงสุดในไตรมาสที่ 3/2564 นอกจากนี้นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับเข้ามาซื้อสุทธิ 2 เดือนติดต่อกัน (ส.ค.-ก.ย.) แต่โดยรวมทั้งปียังขายสุทธิ 79,172 ล้านบาท

กลยุทธ์การลงทุนเลือกหุ้นรายตัว พื้นฐานดีและมี ESG กำไรเติบโตยั่งยืน แนะนำหุ้นเด่นในไตรมาสที่ 4 ได้แก่ BDMS คาดกำไรโตแข็งแกร่ง 30%ในปีหน้า , KBANK ราคาซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีที่ 0.7 เท่า ให้ราคาเป้าหมาย 195 บาท ระดับ P/BV 1 เท่า ,PTT ให้ราคาพื้นฐาน 53 บาท แนวโน้มระยะยาวไปได้ดี ทั้งจากธุรกิจพลังงาน ปิโตรเคมี EV แบตเตอรี่  เช่นเดียวกับ GPSC ที่มีการลงทุนในธุรกิจแบตเตอรี่ และเริ่มต้นวิเคราะห์ HFT แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 11.20 บาท เป็นผู้ผลิตยางนอกและยางในรถจักรยานยนต์ และจักรยานรายใหญ่อันดับที่สองในอาเซียน

ส่วนหุ้นที่ราคายังปรับขึ้นช้า ต่ำกว่าก่อนเกิดโควิด  กลุ่มท่องเที่ยว โรงไฟฟ้า บริษัท ท่าอากาศยานไทย (AOT)ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และกองทุนอสังหาฯ คาดว่าจะดีขึ้นเมื่อเปิดประเทศ

แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2565 คาดว่าจะเติบโต 3.9% ผลจากการเร่งกระจายวัคซีน แต่ปัจจัยเสี่ยงที่น่าเป็นห่วงและต้องจับตาอย่างใกล้ชิดถือเป็นระเบิดเวลา 12 ปัจจัยเสี่ยง ประกอบด้วย 1. วิกฤตโรคระบาด 2. การชะลอตัวของเศรษฐกิจ 3. วิกฤตคนตกงาน 4. การขยายตัวของคนจน 5. วิกฤตการเมือง 6. วิกฤตทหาร 7. วิกฤตความเชื่อในสังคมไทย 8. ระเบิดรัฐธรรมนูญ 9. วิกฤตจากภายนอก (สงครามการค้า การเมือง การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ/การออกมาตรการใหม่ๆ ของประเทศขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐ จีน ยุโรป) 10. ความเปลี่ยนแปลงของอากาศ 11. วิกฤตภาพลักษณ์ และ 12. วิกฤตศรัทธา

ด้านนายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อํานวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวถึง หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์จากการที่ประเทศไทยมีความคืบหน้าเรื่องการฉีดวัคซีน ลดการระบาด และติดเชื้อลดลง ทำให้ภาครัฐออกโครงการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ  และเริ่มเข้าสู่ไฮซีซันท่องเที่ยว ฝ่ายวิจัยแนะนำ ให้เลือกลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวเร็ว เช่น MINT , AOT , CPN , HMPRO , BTS

“หุ้นที่แนะนำ แม้่าไตรมาสที่ 3 ผลงานจะไม่สดใส แต่แนวโน้มจะดีขึ้นมาก  MINT  การเงินแข็งแกร่งและมีโรงแรมหลายแห่งในต่างประเทศ และ AOT คาดถึงสิ้นเดือนก.ย. ขาดทุน 1.5 หมื่นล้านบาท หากฟื้นตัวจะดีดกลับมาแรงมีกำไร  จุดเด่นเป็นเจ้าของสนามบินรายเดียว  ส่วน CPN ให้เป้า 58 บาท ปีนี้คาดกำไรหดตัว 28% เพราะการลดค่าเช่า ปี 65 จะดีขึ้น ฟื้นตัว 71% HMPRO เป้า 16 บาท  ภาพการฟื้นตัวของธุรกิจชัดเจนมากขึ้น ทั้ง SSSG และค่าเช่า คาดว่าเมื่อถึงปี 2565-2566 กำไรจะกลับมาฟื้นตัวตามความคืบหน้าของวัคซีน และ BTS ให้เป้า 10.05 บาทการคลายล็อกดาวน์ดีต่อบริษัท และในปีหน้ารถไฟฟ้าสายสีเหลืองเปิดตันปี สายสีชมพูเปิดกลางปี”นายสมบัติกล่าว

ขณะที่นายธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปมีแนวโน้มกลับมาขยายตัว  แม้มีเงินเฟ้อสูง ส่งผลให้เฟดเริ่มลดการผ่อนคลาย แต่แนวโน้มดอกเบี้ยยังคงต่ำมาก  ทำให้นักลงทุนยังคงมองหาผลตอบแทนส่วนเพิ่ม ประกอบกับสภาพคล่องที่สูงก็เป็นปัจจัยหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ต่อไป

การจัดพอร์ตลงทุนในช่วง 3  เดือน ยังคงเพิ่มน้ำหนักหุ้นสหรัฐ สัดส่วน 54% ตลาดยุโรปยังให้ลงทุน แต่การลงทุนใน 12 เดือนข้างหน้าให้ลดลง 26% ญี่ปุ่น 4% เอเชียไม่รวมญี่ปุ่น 16% เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน 12 เดือนข้างหน้า ทองคำให้น้ำหนัก 5-6% เพิ่มน้ำหนักขึ้น ส่วนตราสารหนี้ลดการลงทุน ถือเงินสดมากขึ้น

“เน้นธีมการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตดีจากการเร่งลงทุนด้านวิจัย และพัฒนารวมทั้งขยายกำลังการผลิต โดยกลุ่มเทคโนโลยีมีการลงทุนเพิ่มมากกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ จากที่เคยมีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 12% ของยอดลงทุนรวมทุกอุตสาหกรรมในปี 2551 ก็ได้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาที่ 18% ปีนี้  เพราะธุรกิจหันมาใช้ระบบหุ้นยนต์อัตโนมัติแทนแรงงาน”นายธนวัฒน์กล่าว

นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อํานวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางดี จะมีแรงซื้อในหุ้นกลุ่ม SET50 แต่จะมีแรงขายตราสารหนี้  คาดว่าแนวโน้ม SET50 ทองคํา และค่าเงินบาท ตามทิศทางเทคนิค SET50 ติดแนวต้าน 1000/1050 แกว่งตัวในกรอบ กรอบล่าง 900-880 ถ้าหลุดแนวกรอบล่างมีโอกาสปรับตัวลงยาว ส่วนทองคําเริ่มมีโอกาสกลับมาสร้างฐานเพื่อปรับตัวขึ้น ขณะที่ค่าเงินบาท หากยังไม่หลุดต่ำกว่า 33.50/33.30 ยังเป็นการแกว่งตัวเพื่ออ่อนค่า

ธนาคารไทยพาณิชย์ จัดสัมมนามองตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วฟื้นตัวดี หลังวิกฤติโควิด 19 แนะสะสมหุ้นสหรัฐ – ยุโรป เน้นกลุ่มผลประกอบการดีเติบโตต่อเนื่อง 3 ธุรกิจโลกยุคใหม่ “Fintech – Cybersecurity – Renewable Energy & EV & Energy Storage” มีอนาคต