ดาวโจนส์ปิดร่วงกว่า 300 จุด ขายหุ้นเทคโนโลยี บอนด์ยีลด์ปรับขึ้น

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบ ดัชนีดาวโจนส์ร่วงกว่า 300 จุด เทขายหุ้นเทคโนโลยี หลังบอนด์ยีลด์ปรับขึ้น นักลงทุนยังวิตกความขัดแย้งการค้าสหรัฐฯ-จีน ด้านตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 4 ตุลาคม 2564 ปิดที่ 34,002.92 จุด ลดลง 323.54 จุด หรือ 0.94% นักลงทุนสลับกลุ่มลงทุนด้วยการขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีออก เพราะมองว่าหุ้นบางตัวแพงแล้วหลังจาก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่สูงขึ้น

นอกจากนี้นักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับความขัดแย้งการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน รวมทั้งการที่สหรัฐฯอาจผิดนัดชำระหนี้จากการที่สภาคองเกรสยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการขยายเพดานหนี้

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,300.46 จุด ลดลง 56.58 จุด หรือ -1.30%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่14,255.48 จุด ลดลง 311.21 จุด หรือ -2.14%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่1.48%

หุ้นเฟซบุ๊ก ลดลง 4.89% หุ้นแอปเปิล ลดลง 2.46% หุ้นแอมะซอน ลดลง 2.85% หุ้นอัลฟาเบทลดลง 2.11% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ลดลง 1.6% หุ้นไมโครซอฟท์ลดลง 2.07% หุ้นทวิตเตอร์ ลดลง 5.78%

นักลงทุนส่วนหนึ่งกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน หลังจากมีแนวโน้มว่า มาตรการทางภาษีที่ใช้กับจีนตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะยังคงอยู่ หลังจากการเจรจาในเรื่องข้อตกลงการค้าระยะที่ 1 ระหว่างเคธี ไท่ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯกล่าวว่า กับนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน โดยผู้แทนการค้าสหรัฐฯกล่าวว่า จีนไม่ได้ยึดตามข้อตกลงตามที่ได้ให้คำมั่นเรื่องการซื้อสินค้าสหรัฐฯ ดังนั้นสหรัฐฯต้องปกป้องตัวเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งหมายความว่าต้องดำเนินการที่จำเป็นเพื่อป้องกันความเสียหายจากความขัดแข้งมาเป็นปีเพราะการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม

ดังนั้นมาตรการภาษียังคงบังคับใช้ต่อไป แม้มีกระบวนการให้บริษัทอเมริกัน ขอยกเว้นด้าหากเป็นสินค้าที่ไม่มีทางเลือกอื่น

ขณะเดียวกันประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตำหนิพรรคริพับลิกัน ที่ขวางการขยายเพดานหนี้

นักลงทุนยังจับตาการรายงานผลการดำเนินงานไตรมาสสามที่จะเริ่มออกมาในไม่กี่สัปดาห์หน้า รวมทั้งเกาะติดการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจเพื่อประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจและผู้บริโภคจากการะบาดของโควิด

กระทรวงพาณิชย์รายงาน คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 1.2% สูงกว่า 1.0% ที่นักวิเคราะห์คาด

ในวันศุกร์นี้จะมีการรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนกันยายน ซึ่งผลสำรวจนักวิเคราะห์ของ FactSet การจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้น 475,000 ตำแหน่ง จากที่เพิ่มขึ้นเพียง 235,000 ตำแหน่งในเดือนสิงหาคม

หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค เพิ่มขึ้น 2.1% หลังเปิดเผยผลการทดลองระบุว่า ยาเม็ดรักษาโรคโควิด-19 ที่ชื่อโมลนูพิราเวียร์ (molnupiravir) มีประสิทธิภาพลดการเข้ารักษาในโรงพยาบาลถึง 50% ในผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีที่ลดลงกว่า 2.1% จากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ การลดวงเงินซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางสหรัฐฯ การปรับขึ้นดอกเบี้ย รวมไปถึงปัญหาทางการเงินของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ของจีน

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 450.77 จุด ลดลง 2.13 จุด, -0.47%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,011.01 จุด ลดลง 16.06 จุด, -0.23%

ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,477.66 จุด ลดลง 40.03 จุด, -0.61%,

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,036.55 จุด ลดลง 119.89 จุด, -0.79%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 1.74 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 77.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 1.98 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 81.26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 7 ปี หลังกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) และชาติพันธมิตร มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 400,000 บาร์เรลต่อวันในการประชุมเมื่อวานนี้