ส.นักวิเคราะห์ชี้เป้า SET ปี 65 ที่ 1,754 จุด ชูหุ้นเด่น Q4 นี้ AOT-BEM-CPALL-KBANK

HoonSmart.com>> “สมาคมนักวิเคราะห์” เปิดผลสำรวจนักวิเคราะห์เล็งวัคซีนในไทยคืบหน้า เศรษฐกิจโลกฟื้น หนุน SET Index สิ้นปีนี้ 1,648 จุด ส่วนปี 65 ให้เป้า 1,754 จุด คาดกำไรบจ.เติบโต 12.73% ส่วนโค้งสุดท้ายไตรมาส 4/64 คาดดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,565-1,675 จุด แนะหุ้นเด่น AOT-BEM-CPALL-KBANK เลี่ยงหุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะตัวที่ปีก่อนวิ่งเกิน 1000%

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน รวม 27 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 โดยนักวิเคราะห์ลดสมมติฐานหลัก ด้านการขยายตัวของ GDP ไทยปี 2564 เฉลี่ยเหลือ 0.68% เทียบกับการสำรวจเมื่อกลางปีที่ 2.11% อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าปี 2565 จะเติบโตที่ 3.67% ขณะที่เพิ่มสมมุติฐาน ด้านราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเป็น 68.54 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ในครั้งก่อนใช้ตัวเลขเพียง 64.96 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

สำหรับทิศทางการลงทุนในไตรมาส 4 ปีนี้ จะได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ แนวโน้มความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนในไทย มีผู้โหวตท่วมท้น 96% ตามมาด้วย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก มีผู้โหวตสูงถึง 70%

ส่วนปัจจัยด้านลบ มาจาก ท่าทีการเตรียมลดมาตรการ QE ทั่วโลก มีผู้โหวต 92% และ ตามติดมาด้วย ปัจจัยการเมืองในประเทศด้วยเสียงโหวต 85% แถมด้วย แนวโน้มการจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯเร็วขึ้นกว่าคาดเดิม มีเสียงโหวต 63%

นอกจากนี้คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย น่าจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดปีนี้ และปีหน้า

ส่วนทางด้านผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนปี 2564 เฉลี่ยที่ 82.08 บาทต่อหุ้น เป็นการเติบโต 69.50% จากปีก่อน และตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ สูงขึ้นกว่าการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 80.87 บาทต่อหุ้น ขณะที่ ข่าวดีอยู่ที่ปี 2565 ที่นักวิเคราะห์คาดว่า กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มเป็น 92.49 บาทต่อหุ้น เติบโต 12.73%


ทางด้าน คาดการณ์ SET Index ในช่วงไตรมาส 4 ของปี จะแกว่งตัวในกรอบ 1,565 ถึง 1,675 จุด และคาดว่าจะปิดสิ้นปีที่ 1,648 จุด และคาดการณ์ว่าสิ้นปี 2565 จะปิดที่ 1,754 จุด

นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 12.20% กองทุนตราสารหนี้ 16.80% หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 28.80% หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 25.88% กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 8.04% ทองคำหรือกองทุนทองคำ 5.96% และอื่นๆ 2.32%

สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยในไตรมาสที่ 4 นั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจ พาณิชย์ ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจพลังงาน โรงพยาบาล และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รายชื่อหุ้นเด่นที่แนะนำ คือ AOT, BEM, CPALL, KBANK

หุ้น AOT ปัจจัยสนับสนุนจากการขยายสัญญาเช่าสนามบิน ลุ้นรายได้พาณิชย์ใหม่จากการพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์ที่ดิน 700 ไร่ใกล้สุวรรณภูมิ ซึ่งสร้าง Upside และเสริมภาพการฟื้นตัวธุรกิจการบินในระยะกลาง-ยาว

หุ้น BEM มองผลประกอบการไตรมาส 3/64 เป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ แนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากการทยอยเปิดเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้ราคาหุ้นยังฟื้นตัวช้า

CPALL ปัจจัยสนับสนุนจากปรับโครงสร้าง MAKRO เข้าถือหุ้นใน Lotus’s 100% และคาดหวังหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย รวมถึงการกลับมาของนักท่องเที่ยว จะทำให้ปลประกอบการของ Lotus’s กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง

KBANK คาดว่าสินเชื่อโตเกินเป้าจะทำให้กำไรดีกว่าคาด ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2565/66 ขึ้นอีก 6% และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2565 เป็น 160 บาท

ส่วนหุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยง คือ หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางบริษัทที่เคยวิ่งขึ้นกว่า 1,000% ในปีก่อน

” นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไปยังรัฐบาล ได้แก่ การเร่งฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อการเปิดเมือง การช่วยเหลือภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และ สนับสนุนการผู้ประกอบการรายย่อย SMEs การให้สินเชื่อพิเศษ นอกจากนั้น ควรมีนโยบายให้การช่วยเหลือประชาชน พร้อมเป็นการกระตุ้นการจับจ่าย โดยให้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ รวมทั้งการให้สิทธิภาษีสนับสนุนการลงทุนใน LTF” นายสมบัติ กล่าว