หุ้นไตรมาส 3 บวกแค่ 1.13% บล.กรุงศรียืนเป้าสิ้นปีนี้ 1,700

HoonSmart.com>> ข่าวดี! นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยติดต่อเป็นเดือนที่สอง ก.ย.เก็บสุทธิ 11,137 ล้านบาท ส่วนดัชนีไตรมาส 3 ปิดที่ 1,605.68 จุด เพิ่มขึ้นเพียง 17.89 จุด เทียบไตรมาส 2  แต่ยังดูดี บวก 156 จุดหรือ 10.79%จากสิ้นปีก่อน บล.กรุงศรี มองไตรมาส 4 ขาขึ้น ตลาด laggard ยังมีโอกาสไล่ตามตลาดอื่นๆ ปลอดภัยจากเงินไหลออก ระวังการเมืองป่วน เปิดเมืองหนุนธุรกิจบริการ-การผลิต เชียร์ซื้อ 6 หุ้นเด่น BANPU,BTS , KBANK,TOP,TTB, VGI

ตลาดหุ้นไทยในไตรมาสที่ 3/2564 ดัชนีจบลงที่ 1,605.68 จุด เพิ่มขึ้น 17.89 จุด ปรับตัวขึ้นเพียง 1.13% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปิดที่ระดับ 1,587.79 จุด หากเทียบกับสิ้นปีก่อน ดัชนีเพิ่มขึ้น 156.33 จุด ปรับตัวขึ้น 10.79% โดยในเดือนก.ย. นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิ 11,137 ล้านบาทนับเป็นเดือนที่สอง และมากกว่าเดือนส.ค.ที่มีมูลค่า 5,584 ล้านบาท แต่ดัชนีกลับลดลง 33.07 จุดหรือประมาณ 2% จากเดือนก่อนปิดที่ 1,638.75 จุด

บล.กรุงศรีเพิ่งออกบทวิเคราะห์คาดการณ์ตลาดในไตรมาสที่ 4/2564 ยังคงเป้าหมายดัชนีสิ้นปีที่ระดับ 1,700 จุด มีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นทั้งในภาคบริการและภาคการผลิต ผลจากการปลดล็อกกิจกรรมทางเศรษฐกิจ นำไปสู่การกลับสู่เส้นทางการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วอาจทำให้เกิดการปรับฐานระยะสั้น เนื่องจาก valuation ที่สูงขึ้น แนะนำให้จับตาสถานการณ์ทางการเมืองทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากอาจสร้างความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ

“หุ้นไทย laggard ยังมีโอกาสในการไล่ตามตลาดอื่นๆ และปลอดภัยจากเงินทุนไหลออก คาดผลกระทบจาก tapering ของเฟดจำกัดในรอบนี้ หลังจากต่างชาติเริ่มขายหุ้นมาตั้งแต่ปี 25556″บล.กรุงศรีระบุ

สำหรับหุ้นเด่นที่แนะนำ “ซื้อ” ได้แก่ BANPU เป้าหมาย 13 บาท ,BTS มูลค่าเหมาะสม 14 บาท ,KBANK มูลค่า 161 บาท ,TOP ราคา 61 บาท ,TTB มูลค่า 1.55 บาท และ VGI ให้เป้าหมาย 8.10 บาท โดยชอบหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง การเริ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะหนุนเปลี่ยนผ่านไปยังภาคบริการ

ส่วนหุ้นธนาคารคาดสะดุดระยะสั้น จากแนวโน้มกำไรที่อ่อนแอลงในไตรมาส 3/64 แต่สร้างโอกาสระยะยาว ในการเข้าซื้อจากการพักฐาน โดยคงให้น้ำหนักมากกว่าตลาด  เนื่องจากมีงบดุลที่แข็งแกร่ง ขณะที่ราคาหุ้นค่อนข้างถูก ซื้อขายเพียง 0.8 เท่าของมูลค่าหุ้นทางบัญชี คาดว่าจะมีการเปิดเมืองในปลายไตรมาสที่ 4 จะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเร่งตัวขึ้นและสร้างอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของสินเชื่อ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยฟื้นตัวคลายกังวลเรื่องคุณภาพสินทรัพย์

” เราเลือก KBANK และ TTB เป็นหุ้นเด่น โดยธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง พอร์ตสินเชื่อเติบโตเด่นที่สุดในปีนี้ ล่าสุดขยายตัว 8.1% เทียบกับทั้งระบบธนาคารที่ 3.3%ในช่วง 7 เดือนแรก ส่วน NPLs ยังคงอยู่ในระดับที่จัดการได้ โดยปรับเพิ่มขึ้นจากระดับก่อนโควิดที่ 3.65% เป็น 3.95% ณ ปลายไตรมาสที่ 2 ส่วนTTB ปีนี้กำไรยังไม่มี ปีหน้าแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มแบงก์ใหญ่ที่ 41% และ 34% ในปี 2565-2566″บล.กรุงศรีระบุ

ด้านตลาดหุ้นวันที่ 30 ก.ย. นักลงทุนต่างชาติยังคงขายออกอีก 1,160 ล้านบาท ผสมแรงขายของสถาบันไทยอีก 2,819.58 ล้านบาท กดดันให้ดัชนีร่วงลง 11.30 จุดหรือ -0.70% มูลค่าการซื้อขาย 90,650.11 ล้านบาท พุ่งเป้าหุ้นขนาดใหญ่ และผลจากเงินบาทอ่อนค่ามาก แม้ว่าดาวโจนส์ล่วงหน้าบวกมากกว่า 150 จุดก็ตาม

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า  หุ้นพักฐานลงมา ปิดลบ 11.30 จุด เมื่อเทียบกับตลาดเอเชียวันนี้โดยรวมอยู่ในแดนบวกสลับลบ  ถูกกดดันจากปัจจัยในประเทศเป็นหลัก กังวลสถานการณ์น้ำท่วมและมีแรงขายทำกำไรในกลุ่มธนาคาร ที่ปรับตัวโดดเด่นในช่วงก่อนหน้า รวมถึงแรงขายกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หลังตอบรับเงินบาทอ่อนค่าไปพอสมควร และมีความกังวลเรื่องน้ำท่วมโรงงานด้วย

แนวโน้มตลาดวันที่ 1 ต.ค. 2564 คาดว่าดัชนีน่าจะปิดยืนเหนือ 1,600 จุดได้ เนื่องจากตลาดดาวโจนส์ ฟิวเจอร์ และตลาดยุโรปอยู่ในแดนบวก  มองว่าตลาดจะเคลื่อนไหว Sideways ในกรอบ 1,600-1,620 จุด การลงทุนควรเลือกหุ้นที่มีปัจจัยเด่นเฉพาะตัว โดยหุ้นที่มีประเด็นบวกในช่วงถัดไปแนะนำ GULF และเมื่อตลาดย่อตัวแนะนำสะสม KBANK ส่วนหุ้นแนวโน้มกำไรในช่วงครึ่งหลังเติบโตแนะนำ NER และ JMT