ดาวโจนส์ปิดร่วง 569 จุด บอนด์ยีลด์พุ่งแรง

HoonSmartc.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงหนัก ดัชนีดาวโจนส์ปิดดิ่ง 569 จุด แรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังบอนด์ยีลด์พุ่งเกือบสูงสุดรอบ 3 เดือน แตะ 1.567% วิตกเงินเฟ้อพุ่งหนุนเฟดลด QE ขึ้นดอกเบี้ยเร็ว ด้านตลาดหุ้นยุโรปลบ ราคาน้ำมันดิบลดลง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 28 กันยายน 2564 ปิดที่ 34,299.99 จุด ลดลง 569.38 จุด หรือ 1.63% หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถ่วงตลาด จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นเกือบสูงสุดในรอบ 3 ดือน ขณะที่การพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อเลี่ยงไม่ให้หน่วยงานเกิดการชัตดาวน์และการขยายเพดานหนี้จากสภาคองเกรสยังไม่คืบหน้า

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,352.63 จุด ลดลง 90.48 จุด, -2.04%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,546.68 จุด ลดลง 423.29 จุด, -2.83%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปียังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องไปที่ 1.567% เพราะนักลงทุนมองว่าธนาคารกลาง (เฟด) จะรักษาคำมั่นที่จะลดการซื้อพันธบัตรหากเงินเฟ้อสูงขึ้น ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่เฟดส่งสัญญาว่าจะลดวงเงินซื้อพันธบัตรที่ตั้งไว้เดือนละ 120 พันล้านดอลลาร์ลงในเร็วๆนี้

นักวิเคราะห์จาก Schwab Center for Financial Research มองว่าตลาดเริ่มรับความจริงมากขึ้นว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรต่ำเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน เมื่อเฟดเริ่มปรับท่าทีเรื่องนโยบายการเงิน ทุกคนก็ปรับสถานะการลงทุนตาม

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีลดลงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น เพราะเกรงว่าอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนั้นจะกระทบผลการดำเนินงาน ประกอบกับหุ้นที่นิยมกันนั้นเริ่มที่จะovervalued โดยหุ้นเฟซบุ๊กลดลง 3.66% หุ้นแอปเปิล ลดลง 2.38% หุ้นแอมะซอน ลดลง 2.64% หุ้นอัลฟาเบทลดลง 3.72% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ลดลง 1.48%หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 3.62%

ตลาดได้รับแรงกดดันจากความล่าช้าในการพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวและการเพิ่มเพดานหนี้ หลังมีรายงานว่า วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันได้ขัดขวางร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลให้หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐต้องชัตดาวน์ในสิ้นเดือนนี้

นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีส่งจดหมายเตือนสภาคองเกรสว่าจะต้องขยายเพดาหนนี้ภายในวันที่ 18 ตุลาคม เพื่อเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาล

“สภาคองเกรสจำเป็นต้องจัดการกับวงเงินหนี้อย่างรวดเร็ว มิฉะนั้น อเมริกาจะผิดนัดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์”นาง เยลเลนกล่าวในถ้อยแถลง”ความเชื่อและความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกาจะเสื่อมลง และประเทศของเราน่าจะเผชิญกับวิกฤติทางการเงินและภาวะเศรษฐกิจถดถอย”

ขณะเดียวกันร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานที่เสนอโดยประธานาธิบดี โจ ไบเดน ก็ยังมีแนวโน้มไม่แน่นอน

ความกังวลเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานและราคาผู้บริโภคที่สูงขึ้น ก็มีผลให้ตลาดผันผวน หลังจากนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดได้แถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาเมื่อวานนี้ว่า ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงอาจกินระยะเวลานานกว่าที่คาดไว้จากปัญหาห่วงโซ่อุปทานและการเปิดเศรษฐกิจ

Conference Board รายงานดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนกันยายนลดลงมาที่ระดับ 109.3 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จาก 115.2 ในเดือนสิงหาคม และต่ำกว่า114.5 ที่นักวิเคราะหคาด

อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้หุ้นกลุ่มพลังงานเพิ่มขึ้น โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิลเพิ่มขึ้น 1.05% หุ้นเชฟรอนเพิ่มขึ้น 0.38% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ เพิ่มขึ้น 1.63% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน เพิ่มขึ้น 1.13%

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีที่ลดลง 4.4% นักลงทุนจับตาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่สูงขึ้น และการเติบโตของเศรษฐกิจจีน รวมทั้งประเมินผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการของเยอรมนีที่สร้างความไม่แน่นอนให้กับประเทศมากขึ้น

สถาบัน GfK รายงานความเชื่อมั่นผ็บริโภคเดือนตุลาคมดีกว่าคาด เพิ่มขึ้นมาที่ 0.3 จุด จาก -1.1 เดือนกันยายน

นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางสหภาพยุโรปเตือนว่า อย่าตระหนกเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เพราะเป็นภาวะชั่วคราว

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 452.35 จุด ลดลง 10.07 จุด, -2.18%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,028.10 จุด ลดลง 35.30 จุด, -0.50%

ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,506.50 จุด ลดลง 144.41 จุด, -2.17%,

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,248.56 จุด ลดลง 325.32 จุด, -2.09%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 16 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 75.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 44 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 79.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล