ดาวโจนส์ปิดบวก 71 จุด บอนด์ยีลด์พุ่ง

HoonSmart.com>> ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 71 จุด แรงซื้อหุ้นกลุ่มได้ประโยชน์เปิดเศรษฐกิจ หุ้นคุณค่าหนุน บอนด์ยีลด์พุ่ง นักลงทุนขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีฉุด ดัชนี Nasdaq , S&P 500 ปิดลบ ด้านตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่บวก ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 27 กันยายน 2564 ปิดที่ 34,869.37 จุด เพิ่มขึ้น 71.37 จุด หรือ 0.21% จากการเข้าซื้อหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจและหุ้นคุณค่า ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยอ่อนตัวลง และส่งผลให้ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดลบ

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,443.11 จุด ลดลง 12.37 จุด, -0.28%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่14,969.97 จุด ลดลง 77.73 จุด, -0.52%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 1.5% เมื่อคืนนี้จากมุมมองทางบวกต่อเศรษฐกิจและความกังวลต่อเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนและเพิ่มขึ้นจาก 1.30% เดือนสิงหาคมก่อน ที่อ่อนตัวลงมาที่ 1.48%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา เพิ่มขึ้น 2.66% หุ้นเจพีมอร์แกน เพิ่มขึ้น 2.42% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ เพิ่มขึ้น 2.29% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ เพิ่มขึ้น 2.14% แต่ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีลดลง โดยหุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 1.73% หุ้นอัลฟาเบท ลดลง 0.8% หุ้น Nvidia ลดลง 1.91%

นักวิเคราะห์จาก Wolfe Research ระบุว่า การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะจุดความสนใจในหุ้นกลุ่มคุณค่าทั่วตลาด และทิศทางของอัตราดอกเบี้ยระยะยาวยังเป็นปัจจัยต้นๆต่อการกลับมาสลับกลุ่มเล่น แลการลงทุนแบบธีมในระยะต่อไป

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังได้รับแรงหนุนจาก ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนสิงหาคมที่แกร่งเกินคาด โดยกระทรวงพาณิชย์รายงานยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 1.8% สูงกว่า 0.7% ที่นักวิเคราะห์คาด และเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนกรกฎาคม

นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยบวกจากยอดผู้ติดเชื้อโควิดที่ลดลง โดยข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันเฉลี่ย ในสัปดาห์ที่แล้วมีจำนวน 120,000 ราย ลดลงจาก 166,000 ราย ยอดเฉลี่ย 7 วันในช่วงที่มีการแพร่ระบาดสูงสุดเมื่อต้นเดือนกันยายน

หุ้นคาร์นิวาล คอร์ปเพิ่มขึ้น 3.7% หุ้นยูไนเต็ดแอร์ไลน์เพิ่มขึ้น 0.6% หุ้นโบอิ้งเพิ่มขึ้น 1.3%

ราคาน้ำมันดิบWTI ที่เพิ่มขึ้นมาแตะระดับ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลล์ หนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิลเพิ่มขึ้น 2.97% หุ้นเชฟรอนเพิ่มขึ้น 2.36%

นักลงทุนยังจับตาว่า วุฒิสภาจะผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวหรือไม่เพื่อเลี่ยงไม่ให้หน่วยงานเกิดการชัตดาวน์ รวมไปถึงการยกเลิกเพดานหนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2565

นักลงทุนยังจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลาง (เฟด) และนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลัง ซึ่งมีกำหนดกล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันที่ 28 กันยายน รวมทั้งการส่งต่อตำแหน่งประธานสาขาของเฟด 2 รายที่ประกาศเกษียณก่อนกำหนด

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยกลุ่มน้ำมันและก๊าซที่เพิ่มขึ้น 2.8% หลังจากผลการเลือกตั้งเยอรมนีได้ลดความเสี่ยงหลักของนักลงทุนในภูมิภาค เนื่องจากลดโอกาสที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลผสมฝ่ายซ้าย

พรรคโซเชียล เดโมแครตซึ่งเป็นฝ่ายกลาง-ซ้ายของเยอรมนีชนะการเลือกตั้งระดับชาติครั้งแรกด้วยคะแนนเสียง 25.7% และเฉือนพรรคฝ่ายขวาคริสเตียนเดโมเครติก ยูเนี่ยนและพรรคคริสเตียน โซเชียลยูเนียนทางฟากนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันที่ได้ 24.1%

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 462.42 จุด ลดลง 0.87 จุด หรือ -0.19%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,063.40 จุด เพิ่มขึ้น 11.92 จุด หรือ +0.17%

ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,650.91 จุด เพิ่มขึ้น 12.45 จุด หรือ +0.19%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,573.88 จุด เพิ่มขึ้น 42.13 จุด หรือ +0.27%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 1.47 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 75.45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 1.44 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 79.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล