เชียร์ KBANK เป้าเฉียด 200 บ. ‘ลิสซิ่ง-ผู้ออกเหรียญดิจิทัล’จุก

HoonSmart.com>> นักวิเคราะห์ยกธนาคารกสิกรไทยเป็นหุ้นเด่น ลุ้นเปิดดีลลับ ราคาต่ำกว่าบุ๊ก สลับแรงขายทำกำไร SCB การแปลงร่างเป็นฟินเทคยังคงกดดันหุ้นเช่าซื้อ-สินเชื่อบุคคลต่อ นักลงทุนไม่ทันตั้งตัว รัฐบาลจีนประกาศปราบคริปโต กระหน่ำหุ้นที่จะออกเหรียญดิจิทัลร่วงระนาว

 

ตลาดหุ้นวันที่ 27 ก.ย. เปิดสดใส แต่กลับเจอแรงขายทำกำไร จนดัชนีไหลลงมาปิดที่ระดับ 1,620.02 จุด ติดลบ -11.13 จุดหรือ-0.68% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 135,801.95 ล้านบาท ฝีมือนักลงทุนต่างชาติทิ้ง 3,909.89 ล้านบาท ผสมแรงขายจากสถาบันไทย 2,097 ล้านบาท สวนทางนักลงทุนไทยช้อน 3,750.58 ล้านบาท และพอร์ตหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 2,256.76 ล้านบาท

แรงซื้อยังคงกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะ 3 แบงก์ใหญ่มีมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 3.3 หมื่นล้านบาทหรือเกือบ 25%  ตัวนำตลาดเปลี่ยนเป็นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ลุ้นข่าวดีการประกาศดีลลับ และราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี(บุ๊ก) ขณะที่มีแรงขายหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ที่ราคาขึ้นไปรับข่าวแปลงร่างเป็นฟินเทคจนเทรดสูงกว่าบุ๊ก รวมถึงแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ

อย่างไรก็ตามแรงขายออกมาช่วงบ่าย ในหุ้น DELTA และกระจายในหลายกลุ่ม หลังจากตลาดหุ้นจีนติดลบจากความกังวลการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ซึ่งจะต้องจ่ายหนี้อีกก้อนหนึ่งในวันที่ 29 ก.ย.นี้ รวมถึงผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัด จะส่งผลต่อธุรกิจ และเศรษฐกิจ ทั้งนี้ผู้ว่าธปท.คาดปีนี้จะขยายตัวต่ำกว่า 1%

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นธนาคารยังคงโดดเด่น ผลจากการประกาศปลดล็อกข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งการปรับตัวของกลุ่มธนาคาร ส่งผลกระทบต่อกลุ่มไฟแนนซ์ และนักลงทุนเปลี่ยนกลุ่มเล่น โดยการขายหุ้นที่มีราคาแพง และซื้อหุ้นที่ราคายังถูก หรือ Laggard

ส่วนหุ้นที่จะออกเหรียญและขยายธุรกิจดิจิทัลปรับตัวลงแรง นำโดย XPG ดิ่ง -21.51% และ JMART ร่วง -8.33% นายณัฐพล เกิดจากแรงกดดันของรัฐบาลจีน ประกาศให้ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับตลาดคริปโตเคอร์เรนซีผิดกฎหมายทั้งหมด และแรงกดดันจากการปรับโครงสร้างธุรกิจของแบงก์ใหญ่  อาทิ SCB ที่เปลี่ยนเป็น SCB X โดยจะเข้าลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ ทำให้กดดันในเชิง Sentiment ต่อกลุ่มหุ้นที่มีแผนจะทำเหรียญสินทรัพย์ดิจิทัล ส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีแผนออกเหรียญดิจิทัล มองว่าไม่น่าสนใจ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานไม่สามารถจับต้องได้ เพราะเป็นธุรกิจในอนาคต

ส่วนกลุ่มไฟแนนซ์ ก็มีผลกระทบบ้างจากโครงสร้างธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ที่เข้ามาเป็นคู่แข่งในธุรกิจ อีกหนึ่งปัจจัยกดดันมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ที่ปรับตัวสูงขึ้น ตามแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตของหลายๆประเทศ และการขยายเพดานหนี้ของภาครัฐบาลไทย ทำให้กลุ่มไฟแนนซ์ได้รับผลกระทบในเชิงต้นทุนปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากช่องทางการจัดหาเงินเพื่อนำมาปล่อยสินเชื่อ ส่วนใหญ่จะเป็นการออกหุ้นกู้ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในกลุ่มไฟแนนซ์ แนะนำรอราคาหุ้นเริ่มนิ่งก่อน ค่อยตัดสินใจเข้าลงทุน

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มที่จะออกเหรียญดิจิทัล ปรับตัวลดลงตามแรงขายจากการเปลี่ยนกลุ่มเล่นของนักลงทุน เนื่องจากราคาปรับตัวขึ้นมาเร็วกว่าปัจจัยพื้นฐานตามความคาดหวังเชิงบวกในช่วงก่อนหน้า เช่นเดียวกันกับกลุ่มไฟแนนซ์ที่มีแรงขายออกมา เนื่องจากราคาหุ้นค่อนข้างแพง เมื่อเทียบกับกลุ่มธนาคารที่ราคาหุ้นยังไม่แพง และราคามีโอกาสปรับขึ้นได้อีก

“ถึงแม้การปรับโครงสร้างของกลุ่มธนาคาร จะกดดันในเชิง Sentiment ก็ตาม แต่ปัจจัยพื้นฐานจริงๆไม่ได้เปลี่ยนตามอย่างรวดเร็ว ก็หมุนกลุ่มเล่นของนักลงทุนเป็นเพียการขายหุ้นที่ราคาแพง และเข้าซื้อหุ้นที่ราคาถูก ซึ่งหุ้นของกลุ่มที่จะออกเหรียญดิจิทัล อาทิ กลุ่ม JMART ก็น่าสนใจ แนะนำ JMT มีความแข็งแกร่งในเชิงธุรกิจ ส่วนกลุ่มไฟแนนซ์แนะนำ SAWAD, MTC และSINGER แนวโน้มกำไรเดินหน้าสร้างการเติบโตต่อเนื่อง  แต่อยากให้นักลงทุนระมัดระวัง แรงขายจากฝั่งกองทุน รอราคาหุ้นเริ่มนิ่งก่อนค่อยเข้าลงทุน ด้านกลุ่มธนาคารก็แนะนำ KBANK ราคายังถูก โอกาสที่ราคาปรับขึ้นมีอยู่” นายวิจิตร กล่าว

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นธนาคารมากกว่าตลาด จากราคาหุ้นหลายธนาคารต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี ขณะที่ทำกำไรได้ โดยเลือก KBANK ราคาพื้นฐาน 195 บาทและ TISCO มูลค่า 110 บาท เป็นหุ้น Top picks เนื่องจากธนาคารกสิกรไทยมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง เป็นผู้นำในธุรกิจดิจิตอลแบงค์กิ้ง และกำไรเติบโตดีในปี 2564 เพราะในปีก่อนตั้งสำรองสูงมาก และTISCO มีเงินกองทุนแข็งแกร่ง และมี Coverage ratio และ ROE สูงที่สุดในกลุ่ม รวมทั้งจ่ายปันผลสูงสม่ำเสมอ

ส่วนสินเชื่อเดือนส.ค. โตขึ้น 0.5%จากเดือนก่อนและเพิ่มขึ้น 5.1%YoY, +3.2%YTD โดย KTB ปล่อยสินเชื่อภาครัฐได้มากขึ้น ทำให้สินเชื่อโตโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม +2.0% จากเดือนก่อน แต่สินเชื่อรายใหญ่ทรงตัว ด้าน SCB สินเชื่อโต +0.9% KKP สินเชื่อขยายตัว +0.4% ขณะที่สินเชื่อ TISCO และ TTB ยังหดตัวต่อเนื่อง

บล.หยวนต้า เลือก KBANK ให้มูลค่าเหมาะสม 180 บาท และ KKP มูลค่า 71.50 บาท เป็น Top Pick  หลังมีการเติบโตของสินเชื่อโดดเด่นกว่ากลุ่มและราคายังซื้อขายด้วย P/BV ที่ไม่สูง

บล.เอเซีย พลัส เลือก CPALL, KBANK และ MCS บล.กรุงไทยซีมิโก้ เลือกหุ้นสัปดาห์นี้แนะนำ KBANK,DTAC, SPA