HoonSmart.com>> “สกาย ทาวเวอร์” มั่นใจกำไรปี 64 โตกว่าปีก่อน งานสถานีย่อยยังมีต่อเนื่อง ส่วนงานต่างประเทศ ตั้งเป้าสร้างเสาโทรคมนาคมให้เช่าครบ 140 สถานี ปี 66 ครบ 620 สถานี แก้เครื่องหมาย C ส่วนผู้ถือหุ้นบวก 711 ล้านบาท หนี้สินลดเหลือ 230 ล้านบาท D/E เพียง 0.33 เท่า
นาย ธีรชัย ลีนะบรรจง ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ทาวเวอร์ (STOWER) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ธุรกิจยังมีการเติบโตขึ้นจากครึ่งแรกที่มีรายได้อยู่ที่ 143.14 ล้านบาท คาดว่าจะมีงานสถานีย่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ปริมาณงานจะออกมาไม่มาก แต่มีความสามารถในการทำกำไรที่ดีกว่าเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง นอกจากนี้ยังมีการขยายสถานีโทรคมนาคมในประเทศเพิ่มเติมด้วย
ส่วนงานเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง ตามแผนการประมูลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีหลายโครงการที่ถูกเลื่อนออกไปบ้าง ทำให้ต้นปี 2565 อาจจะมีงานออกมามากขึ้น คาดว่าจะมีการประมูลเสาไฟฟ้าขนาดใหญ่ 500 Kv ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท และก็จะมีงานอื่นๆทยอยออกมาต่อเนื่อง
ขณะที่แผนการเติบโตในต่างประเทศ บริษัทมีเป้าหมายในปีนี้สร้างเสาโทรคมนาคมให้เช่าที่ประเทศฟิลิปปินส์ บนพื้นที่เกาะลูซอน รวมทั้งหมด 140 สถานี จากปัจจุบันสร้างเสร็จไปแล้ว 9 สถานี โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท หรือเงินลงทุนประมาณ 4 ล้านบาทต่อ 1 สถานี และมีแผนที่จะสร้างให้ครบ 620 สถานี ในปี 2566 หรือขยายเพิ่มปีละ 240 สถานี
ประเทศฟิลิปปินส์ยังมีความต้องการเสาโทรคมนาคมอีกมาก ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 23,000 ต้น เทียบกับจำนวนประชากรที่มีกว่า 109 ล้านคน และเมื่อเทียบกับประเทศไทยมีประชากรอยู่ประมาณ 70 ล้านคน มีเสาโทรคมนาคมอยู่ 65,000 ต้น ทำให้อุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่ประเทศฟิลิปปินส์ยังมีโอกาสเติบโตสูงมาก ผู้ประกอบการจะต้องขยายเสาสัญญาณให้ครอบคลุมกับฐานลูกค้าของรายนั้นๆ อีกทั้งหน่วยงานกำกับด้านเทคโนโลยี การสื่อสาร และโทรคมนาคม (DICT) วางเป้าให้ภาคเอกชนขยายเสาให้ถึง 50,000 ต้นในอีก 3-4 ปี (2566-2567)
“ในปี 2564 รายได้อาจจะไม่สูงเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น เราได้ลดภาระของบริษัทย่อยพอสมควร รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ และจากแผนการขยายการเติบโตของธุรกิจหลัก เชื่อว่าในปีนี้จะมีผลกำไรสุทธิดีขึ้นกว่าปีก่อน โดยในปี 2565 วางเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากในประเทศอยู่ที่ 60-70% และต่างประเทศอยู่ที่ 30-40% และคาดว่าในปี 2566 จะมีสัดส่วนเท่ากัน” นายธีรชัย กล่าว
นายธีรชัย กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีหุ้น STOWER ติดเครื่องหมาย C ว่า บริษัทได้ปรับโครงสร้างด้านการเงินแล้ว ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 711 ล้านบาท และหนี้สินรวมลดลงมาอยู่ที่ 230 ล้านบาท ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 0.33 เท่า ส่งผลให้บริษัทมีความมั่นคงทางการเงินมากขึ้น และบริษัทจะพยายามสร้างผลกำไรเพื่อเพิ่มส่วนของผู้ถือหุ้นในระยะยาว