“ทริส” ปรับแนวโน้ม JMART-JMT-SINGER เป็น “บวก” หลังผนึกกลุ่ม U-VGI

HoonSmart.com>> “ทริสเรทติ้ง” ปรับแนวโน้ม “JMART-JMT-SINGER” ขึ้นจาก “คงที่” เป็น “บวก” คาดฐานทุนแกร่ง หลังการเข้าลงทุนของ VGI และ U หากผู้ถือหุ้นไฟเขียวพ.ย.นี้ แนวโน้มอาจปรับอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้เพิ่มขึ้น หลังเพิ่มทุนเสร็จ ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน คงคำแนะนำซื้อหุ้นทั้ง 3 บริษัท

บริษัท ทริสเรทติ้ง ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เจมาร์ท (JMART) ที่ระดับ BBB หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ BBB- และคงอับดับเครดิตองค์กรของและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ที่ระดับ BBB รวมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ที่ระดับ BBB- พร้อมทั้งปรับแนวโน้มอันดับเครดิตทั้ง 3 บริษัทเป็น Positive หรือ บวก จาก Stable หรือ คงที่

ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการออกประกาศเมื่อวันที่ 27 ส.ค.2564 ที่ระบุว่า บริษัท วีจีไอ (VGI) และ บริษัท ยู ซิตี้ (U) มีความประสงค์จะลงทุนในบริษัทและบริษัทร่วมคือ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) โดยธุรกรรมดังกล่าวหากได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นของบริษัทในช่วงเดือนพ.ย.64 จะทำให้บริษัทและบริษัทซิงเกอร์ประเทศไทยได้รับเงินเพิ่มทุนก้อนใหม่ภายในปลายปี 2564 นี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการเพิ่มทุนดังกล่าวจะทำให้ฐานทุนและความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มเจมาร์ทมีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากในระยะปานกลาง

นอกจากนี้ทริสเรทติ้ง คาดว่าจะปรับอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของบริษัทเพิ่มขึ้นหลังจากการเพิ่มทุนเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว

ทั้งนี้ ธุรกรรมดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับการเพิ่มทุนดังต่อไปนี้ 1.JMART จะได้รับเงินเพิ่มทุนทั้งสิ้นจำนวน 1.039 หมื่นล้านบาทซึ่งประกอบด้วย เงินจำนวน 6.26 พันล้านบาทที่จะได้รับจากบริษัทวีจีไอซึ่งจะถือหุ้นบริษัทในสัดส่วน 15% และเงินจำนวน 4.13 พันล้านบาทที่จะได้รับจาก U จะถือหุ้นในบริษัทในสัดส่วน 9.9%

2.SINGER จะได้รับเงินเพิ่มทุนจำนวนทั้งสิ้น 1.065 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย เงินจำนวน 7.16 พันล้านบาทที่จะได้รับจาก U ซึ่งจะถือหุ้นใน SINGER 24.9% และเงินจำนวน 1.23 พันล้านบาทที่จะได้รับจาก JMART ผ่านการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมทุกรายตามสัดส่วน (Right Offering) ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทใน SINGER ลดลงเหลือ 26.5% จากเดิมที่ 35.2% และเงินที่เหลือจำนวน 2.26 พันล้านบาทที่จะได้รับจากผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่น ๆ ผ่านการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมทุกรายตามสัดส่วน (ตามสมมติฐานที่ผู้ถือหุ้นใช้สิทธิครบ)

3.JMT จะได้รับเงินเพิ่มทุนทั้งสิ้นจำนวน 1 หมื่นล้านบาทผ่านการจัดสรรหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมทุกรายตามสัดส่วน ประกอบด้วย เงินจำนวน 5.38 พันล้านบาทที่จะได้รับจากบริษัทเจมาร์ทซึ่งจะคงสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทที่ 54% และเงินจำนวน 4.62 พันล้านบาทที่จะได้รับจากผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่น ๆ (ตามสมมติฐานที่ผู้ถือหุ้นใช้สิทธิครบ)

สำหรับการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของ JMART เป็น Positive หรือ บวก สะท้อนมุมมองของทริสเรทติ้งที่มีต่อสถานะฐานทุนของบริษัทว่าจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้เงินทุนก้อนใหม่ที่ได้รับมาไปใช้ในการดำเนินธุรกิจในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากแผนการเติบโตแนวรุกของบริษัทแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะกลับมาระดมทุนด้วยการกู้ยืมอีกภายในปี 2566

ทั้งนี้ ในระยะสั้นถึงปานกลางทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มจะปรับตัวดีขึ้นจากปัจจัยต่อไปนี้ 1) ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่จะลดลงจากความต้องการในการกู้ยืมที่ลดลง 2) การลงทุนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารที่เพิ่มเติมของบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส และ 3) การขยายสินเชื่อของบริษัทซิงเกอร์ฯ ทั้งนี้ ในระยะยาวบริษัทอาจจะได้รับผลประโยชน์จากการมีความร่วมมือกันระหว่างกลุ่มเจมาร์ทกับกลุ่มบีทีเอส แม้ผลประโยชน์ดังกล่าวยังต้องรอการพิสูจน์ต่อไปก็ตาม

อันดับเครดิตองค์กรยังคงสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัทซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากธุรกิจซื้อและบริหารหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารและการดำเนินงานที่เข้มแข็งของบริษัทลูกหลักรายสำคัญ คือJMT รวมถึงสถานะที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัท ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตลอดจนภาระหนี้ที่สูงของบริษัท และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลและธุรกิจให้เช่าพื้นที่อสังหาริมทรัพย์ของบริษัทอีกด้วย

อันดับเครดิตหุ้นกู้ของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรซึ่งสะท้อนถึงความด้อยกว่าในเชิงโครงสร้างหรือการมีสิทธิเรียกร้องในการได้รับการชำระคืนหนี้ที่ต่ำกว่าของหุ้นกู้เมื่อเปรียบเมื่อเทียบกับสิทธิเรียกร้องของบริษัทย่อยต่าง ๆ ของบริษัท

บริษัทมีผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ที่ยังคงแข็งแกร่งและเป็นไปตามที่ทริสเรทติ้งคาดไว้ โดยมีกำไรสุทธิ 807 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 75% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ได้รับอานิสงส์มาจากผลการดำเนินงานของ JMT ที่เข้มแข็งเป็นหลัก โดยบริษัทลูกดังกล่าวมีกำไรสุทธิอยู่ 567 ล้านบาท นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมากของบริษัทร่วมคือ SINGER ช่วยผลักดันให้ผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ ส่วนแบ่งกำไรที่บริษัทได้รับจาก SINGER ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 106.6 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 จาก 61.8 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2563

ส่วนการปรับแนวโน้มของ JMT เป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอันดับเครดิตของ JMART (ได้รับอันดับเครดิต BBB/Positive จากทริสเรทติ้ง) ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นบริษัทลูกหลัก (Core Subsidiary) ของ JMART ซึ่งส่งผลให้อันดับเครดิตของบริษัทอยู่ในระดับเท่ากับอันดับเครดิตของบริษัทเจมาร์ทตาม เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ ของทริสเรทติ้ง

ทริสเรทติ้งคาดว่าจะปรับอันดับเครดิตองค์กรและอันดับเครดิตหุ้นกู้ของบริษัทเพิ่มขึ้นตามการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของJMART

ทั้งนี้ JMT บริษัทมีบทบาทที่สำคัญในธุรกิจด้านการเงินของกลุ่ม โดยธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจหลักที่สำคัญในการดำเนินกิจการของกลุ่มที่มีนโยบายกระจายธุรกิจ บริษัทเป็นผู้สร้างกำไรสุทธิให้แก่กลุ่มมากที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทในกลุ่มเจมาร์ทรายอื่น ๆ ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 รายได้รวมและกำไรสุทธิของบริษัทมีสัดส่วนคิดเป็น 28% และ 70% ของรายได้รวมและกำไรสุทธิรวมของบริษัทเจมาร์ทตามลำดับ

ส่วนบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ปรับแนวโน้มเป็นบวก สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าฐานทุนและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระยะปานกลาง ในขณะที่อันดับเครดิตของบริษัทนั้นยังคงสะท้อนถึงสถานะทางการตลาด ตลอดจนผลการดำเนินงาน และคุณภาพสินทรัพย์ของสินเชื่อเพื่อการอุปโภคและบริโภคของบริษัทที่เข้มแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเป็นการขยายสินเชื่อผ่านบริษัทย่อยคือ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด

ในการนี้ หุ้นเพิ่มทุนจำนวนดังกล่าวจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สถานะฐานทุนของบริษัทที่แข็งแกร่งอยู่แล้วให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นโดยวัดจากอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงของบริษัทซึ่งอยู่ที่ระดับ 30% ณ สิ้นเดือนมิ.ย.2564 ทั้งนี้ บริษัทมีแผนการจะนำเงินเพิ่มทุนที่ได้ดังกล่าวไปใช้ชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดและใช้ในการขยายธุรกิจต่อไป

ทริสเรทติ้งประมาณการว่าภายหลังจากการเพิ่มทุนในครั้งนี้บริษัทจะมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงโดยเฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ระดับเกินกว่า 60% โดยพิจารณาจากเป้าหมายในการเติบโตของสินเชื่อที่แข็งแกร่งของบริษัท ซึ่งแผนการใช้เงินดังกล่าวน่าจะช่วยให้อัตราการก่อหนี้และสถานะทางการตลาดของบริษัทปรับตัวดียิ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 การขยายสินเชื่อของบริษัทยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วจนถึงระดับ 8.6 พันล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 30% จากช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบันท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอ โดยการขยายตัวของสินเชื่อดังกล่าวนั้นเกิดจากการขยายตัวของสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันเป็นสำคัญ อัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยของบริษัทอยู่ที่ระดับ 7.4% (ปรับอัตราส่วนเป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 โดยบริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่จำนวน 323 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากยอดสินเชื่อที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่ลดลง และการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ

ในขณะเดียวกัน บริษัทยังสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเอาไว้ได้อีกด้วย โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 อัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้โดยรวมของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.6% จากระดับ 4.4% ณ สิ้นปี 2563 ในขณะที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เกิดขึ้นใหม่ (NPL Formation) ก็ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.9% (ปรับอัตราส่วนเป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 จากระดับ 4.6% ในปี 2563 ส่วนค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้นก็ลดลงด้วยเช่นกัน โดยมาอยู่ที่ระดับ 0.2% (ปรับอัตราส่วนเป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 จากระดับ 2.8% ในปี 2563

ด้านบริษัทหลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน เผยว่าจากประมาณการล่าสุดของฝ่ายวิเคราะห์ได้มีการประเมินผลบวกด้านต้นทุนทางการเงินที่คาดลดลงจากประเด็นดังกล่าวแล้ว โดยยังคงคำแนะนำ ซื้อ JMART ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 50.0 บาท คงคำแนะนำ ซื้อ JMT ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 56.0 บาทและคงคำแนะนำ ซื้อ SINGER ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 54.0 บาท