“ภากร” ลุ้นเศรษฐกิจโต หนุนกำไร บจ. ครึ่งปีหลังดีขึ้น-ครึ่งปีแรกโต 7.61%

บจ.กำไรสุทธิครึ่งแรกปี 2561 รวม 5.51 แสนล้านบาท เติบโต 7.61% จากช่วงเดียวกันปีก่อน กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมัน บริการ Well-being และธุรกิจการเงิน เด่น “ภากร” หวังครึ่งปีหลังเศรษฐกิจโตหนุนผลประกอบการ บจ. ดีขึ้น

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในครึ่งปีหลังมีปัจจัยบวกมากกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 3 และ 4 ที่คาดว่าจะเติบโตได้ดี ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 32-33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ จะทำให้ภาคการส่งออกของไทยสามารถแข่งขันด้านราคากับตลาดโลกได้

นอกจากนี้ นายภากร กล่าวอีกว่า แม้ในครึ่งปีหลังจะยังมีความไม่แน่นอนต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก แต่ไม่น่ากังวลเท่ากับครึ่งปีแรก เพราะนักลงทุนรับรู้ไปแล้วว่ามีประเด็นอะไรบ้าง เช่น การไหลกลับของเงินทุนต่างชาติ การปรับเพิ่มดอกเบี้ย และสงครามการค้า เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น จึงเชื่อว่า นักลงทุนจะกลับมาให้ความสำคัญกับความสามารถในการทำกำไรและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น

“ตอนนี้สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น โดย SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 6% ภายใน 1 เดือน ซึ่งถือว่าตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่ปรับตัวเร็วเมื่อเทียบกับตลาดทั่วโลก นักลงทุนกลับมาสนใจตลาดหุ้นไทย เห็นได้จากเงินทุนไหลออกลดลงเรื่อยๆ ขณะที่ Forward P/E อยู่ที่ 15.65 เท่า ลดลงจากก่อนหน้านี้ที่เคยขึ้นไปถึง 17-18 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ 3.05% เพราะฉะนั้นจึงเริ่มเห็นการปรับตัวของตลาดหุ้นที่สะท้อนสภาพเศรษฐกิจและการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนมากขึ้น” นายภากร กล่าว

น.ส.รุ่งทิพย์ เจริญวิสุทธิวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานการตลาดผู้ออกหลักทรัพย์ 2 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน SET แจ้งผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกปี 2561 มีกำไรสุทธิรวม 550,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.61% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ยอดขายรวม 5,884,081 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.01%, กำไรขั้นต้น 1,382,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.58% และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 23.49% เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันในปีก่อนช่วงเดียวกันในปีก่อน ที่อยู่ที่ 23.16%

สรุปผลประกอบการตามกลุ่มอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ มี 554 บริษัท หรือ 95.18% จากทั้งหมด 582 บริษัท (ไม่รวมบริษัทจดทะเบียนใน mai บริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด หรือ NPG) นำส่งผลการดำเนินงานงวดครึ่งแรกปี 2561 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 โดยบริษัทที่รายงานผลกำไรสุทธิมี 459 บริษัท คิดเป็น 83% ของบริษัทจดทะเบียนที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด สูงขึ้นเล็กน้อยจากค่าเฉลี่ยปี 2560 ที่ 82%

“ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทจดทะเบียนเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมียอดขายเติบโตดีตามภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบซึ่งปรับสูงขึ้นมากกว่า 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ยกเว้นในกลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าและราคาผลผลิตทางการเกษตรที่ผันผวนในช่วงต้นปี” น.ส.รุ่งทิพย์ กล่าว

กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิโดดเด่นกลุ่มแรก คือกลุ่มที่ได้อานิสงส์จากราคาน้ำมัน ทั้งหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์

กลุ่มที่สองคือกลุ่มบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจในกลุ่ม Well-being ที่ประเทศไทยมีศักยภาพการแข่งขันสูง ซึ่งรวมถึงหมวดพาณิชย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์

กลุ่มที่สามคือกลุ่มธุรกิจการเงิน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเติบโตตามการขยายสินเชื่อ ได้แก่หมวดธนาคาร และหมวดเงินทุนและหลักทรัพย์

“กลุ่มเทคโนโลยี ที่เป็นอีกกลุ่มที่มีการเติบโตสูง แต่ส่วนหนึ่งเป็นการเติบโตจากการขายสินทรัพย์ของกลุ่มทรูฯ​ ดังนั้นหากตัดรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวนี้ออกไป การปรับเพิ่มขึ้นจะไม่มาก” น.ส.รุ่งทิพย์ กล่าว

ขณะที่โครงสร้างเงินทุนของบริษัทจดทะเบียนยังคงแข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) ทรงตัวเมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2560 ที่ 1.15 เท่า

“อย่างไรก็ดีในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจไทยมีส่วนช่วยให้ยอดขายยังคงเติบโตได้ดี ขณะที่ทิศทางที่ไม่แน่นอนของราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนอาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน ผู้ประกอบการจึงควรให้ความระมัดระวังในการบริหารกิจการมากขึ้น” น.ส.รุ่งทิพย์ กล่าว