ดาวโจนส์ปิดบวก 236 จุด ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจ

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก ดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 236 จุด นักลงทุนคลายกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ดัชนีภาคการผลิตสูงกว่าคาด ดัชนีราคานำเข้าเดือนส.ค.ลดครั้งแรกรอบ 10 เดือน สะท้อนเงินเฟ้อสูงขึ้นชั่วคราว ด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 2-3%

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 15 กันยายน 2564 ปิดที่ 34,814.39 จุด เพิ่มขึ้น 236.82 จุด หรือ 0.68% นักลงทุนคลายกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ หลังจากการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,480.70 จุด เพิ่มขึ้น 37.65 จุด, +0.85%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่15,161.53 จุด เพิ่มขึ้น 123.77 จุด, +0.82%

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กรายงาน ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) เดือนกันยายนเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 34.3 สูงกว่า 18.0 ที่นักวิเคราะห์คาด และสูง กว่า 18.3 ในเดือนสิงหาคม

นอกจากนี้ดัชนีราคานำเข้าเดือนสิงหาคมลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน สะท้อนว่าเงินเฟ้ออ่อนตัวลงและอาจจะผ่านจุดสูงสุดแล้ว

กระทรวงแรงงานรายงานดัชนีราคานำเข้าเดือนสิงหาคมลดลง 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 9.0% ส่วนดัชนีราคานำเข้าพื้นฐาน ลดลง 0.2% จากที่เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนกรกฎาคม ด้านดัชนีราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบรายเดือน และเมื่อเทียบรายปี เพิ่มขึ้น 16.8%

หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจปรับตัวขึ้น โดยหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ เพิ่มขึ้น หุ้นเจนเนอรัล มอเตอร์เพิ่มขึ้น 1.77%

การปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่สูงขึ้นกว่า 3% ก็มีส่วนหนุนตลาด โดย

หุ้นเอ็กซอน โมบิล เพิ่มขึ้น 3.35% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 2.08%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น ทำให้กลุ่มธนาคารปรับขึ้น โดยหุ้นซิตี้ กรุ๊ป เพิ่มขึ้น 2.4% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ เพิ่มขึ้น 1.16%

หุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 1.68% หลังบริษัทประกาศเพิ่มการจ่ายเงินปันผลและมีแผนซื้อหุ้นคืนในวงเงินสูงถึง 60 พันล้านดอลลาร์

นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 21-22 กันยายนนี้ เพื่อรอความชัดเจนการลดการซื้อพันธบัตรรายเดือนจาก 120 พันล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ยังจับตาการปรับการเสนอให้มีปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งนักวิเคราะห์จาก Aptus Capital Advisors ระบุว่า ตลาดยังอ่อนไหว เพราะนอกจากการลดซื้อพันธบัตรของเฟดแล้วยังมีประเด็นเรื่องการขึ้นภาษีอีกด้วยที่จะทำให้ตลาดผันผวน

อย่างไรก็ตามบทวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนระบุว่า แม้เศรษฐกิจและธุรกิจชะลอตัว แต่ยังเชื่อว่ายังขยายตัวแข็งแกร่งและกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะยังกลับมาเร่งตัว จึงมีแนวโน้มทางบวกต่อตลาด โดยคาดว่าดัชนี S&P 500 จะแตะระดับ 4,700 จุดในสิ้นปีนี้ และทะลุระดับ 5,000 ในปีหน้าจากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่ดีกว่าคาด

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง นำโดยกลุ่มสาธารณูปโภคที่ลดลง 2.7% หลังจากสเปนกำหนดเพดานราคาพลังงาน รวมทั้งจากข้อมูลเศรษฐกิจอังกฤษและจีน

ในอังกฤษเงินเฟ้อเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 3.2% จากระยะเดียวกันของปีก่อน สูงสุดในรอบ 9 ปี

ข้อมูลยอดค้าปลีกเดือนสิงหาคมของจีนที่เพิ่มขึ้น 2.5% ซึ่งต่ำกว่า 7% ที่นักวิเคราะห์คาดการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบใหม่ ในฝูเจี้ยนของจีน และสัญญาณการจัดระเบียบในมาเก๊าศูนย์กลางการพนันที่ใหญ่ที่สุดของโลกส่งผลต่อหุ้นสินค้าหรูในกลุ่มค้าปลีก เพราะจีนเป็นตลาดใหญ่

สำนักงานสถิติยูโรโซนรายงานการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนกรกฎาคมดีกว่าคาด โดยเพิ่มขึ้น 1.5% จากเดือนก่อนและเพิ่มขึ้น 7.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นักลงทุนจับการเลือกตั้งใหญ่ในเยอรมนีที่จะมีขึ้นในวันที่ 26 กันยายนนี้

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 463.91 จุด ลดลง 3.74 จุด, -0.80%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,016.49 จุด ลดลง 17.57 จุด, -0.25%

ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,583.62 จุด ลดลง 69.35 จุด, -1.04%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,616.00 จุด ลดลง 106.99 จุด, -0.68%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 2.15 ดอลลาร์ หรือ 3.1% ปิดที่ 72.61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 1.86 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 75.46 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล