WHA มั่นใจรายได้ปีนี้โตเกิน 30% ปี 65 ลุยลงทุนเวียดนาม

HoonSmart.com>> “ดับบลิวเอชเอฯ” ย้ำเป้าปี 64 รายได้โตเกิน 30% รักษา EBITDA Margin ไม่ต่ำกว่า 40% โตทุกธุรกิจ โลจิสติกส์เด่นสุด  ขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT  ไตรมาส 4  ธุรกิจนิคมฯ เป้ายอดขาย 820 ไร่ ส่วนธุรกิจขายน้ำ คาดปริมาณขายได้ 153 ล้านลูกบาศก์เมตร ด้านธุรกิจพลังงาน เป้ากำลังการผลิตรวมแตะ 670 เมกะวัตต์ และธุรกิจดิจิทัล เตรียมจับมือ Start-Up อีก 2 ราย  หั่นเงินลงทุนปีนี้เหลือ 6.1 พันล้านบาท โยกไปลงทุนปีหน้า

น.ส.จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรปกติในปี 2564 จะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High) โดยรายได้รวม จะเติบโตมากกว่า 30% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 8,197.88 ล้านบาท และตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรจากการดำเนินการก่อนหักค่าใช้จ่าย (EBITDA Margin)มากกว่า 40% มีสัดส่วนยอดขายและรายได้ประจำจะอยู่ที่ 53% และ 47% ตามลำดับ รวมถึงสัดส่วนรายได้จะมาจากธุรกิจโลจิสติกส์เป็นหลัก สัดส่วน 46% ของรายได้รวม เนื่องจากรับรู้การขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT)

กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ ที่มีคลังสินค้า Built-to-Suit และ Warehouse Farm มีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าในปี 2564 ให้บริการพื้นที่เช่าประมาณ 175,000 ตารางเมตร โดยมีสัญญาระยะสั้น 120,000 ตารางเมตร ส่วนการการสินทรัพย์เข้ากอง REIT ประมาณ 180,000 ตารางเมตร ด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวมประมาณ 5,500 ล้านบาท จะรับรู้รายได้ในไตรมาส 4 และจะส่งมอบโครงการโลจิสติกส์แห่งใหม่ 5 แห่ง และเปิดตัวโครงการเมกกะ โลจิสติกส์แห่งใหม่ รวมถึงขยายพื้นที่ในโครงการเดิม ขนาดพื้นที่กว่า 400,000 ตารางเมตร

กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม คาดว่าจะมียอดขายที่ดินรวมประมาณ 820 ไร่ แบ่งออกเป็นในประเทศไทยประมาณ 750 ไร่ และที่ประเทศเวียดนามอีก 70 ไร่  ที่เวียดนามคาดว่าจะมีการเซ็นสัญญา MOU เพิ่มอีก 80 ไร่ ส่วนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม ในประเทศจะมีเพิ่มอีก 3 แห่ง ที่เวียดนามเพิ่มอีก 2 แห่ง บนพื้นที่รวมประมาณ 7,200 ไร่

สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภคภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรม คาดว่าจะมีปริมาณขายน้ำอยู่ที่ 153 ล้านลูกบาศก์เมตร  ปีนี้ไม่มีปัญหาภัยแล้ง บริษัทจะมุ่งเน้นในการขายน้ำที่มีมูลค่าเพิ่ม ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจพลังงานคาดว่าจะเซ็นสัญญาเพิ่มได้อีก 90 เมกะวัตต์ ทำให้กำลังการผลิตรวมที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วเพิ่มขึ้นเป็น 670 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันอยู่ที่ 596 เมกะวัตต์

ด้านธุรกิจดิจิทัล แพลตฟอร์ม  อยู่ระหว่างเจรจากับบริษัทสตาร์ทอัพในด้านเทคโนโลยี ประมาณ 2 ราย เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ลูกค้า  และเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจโลจิสติกส์ เพื่อสร้างรายได้ประจำ  ตั้งเงินลงทุนธุรกิจนี้ ประมาณ 300 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามบริษัทฯได้ปรับลดเงินลงทุนในปี 2564 เหลือประมาณ 6,100 ล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ที่ 9,000 ล้านบาท  บางโครงการชะลอการลงทุนไว้บางส่วน และจะนำไปลงทุนในปี 2565 แทน ซึ่งเงินลงทุนหลักๆในปีนี้จะใช้ในธุรกิจโลจิสติกส์ และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ส่วนอัตรา IBD/E รักษาที่ระดับ 1.3 เท่า ยังมีความแข็งแกร่งด้านการเงิน และโอกาสขยายการลงทุนอีกมากในอนาคต

“เรามั่นใจว่าปีนี้ เรามีการเติบโตตามเป้าแน่นอน  ส่วนในปี 2565 จะเติบโตได้ดีกว่าปีนี้อีก หลังจากสามารถเปิดประเทศได้แล้ว ลูกค้าก็จะเข้ามาลงทุนมากขึ้น และเราเองก็สามารถไปขยายการลงทุนที่ต่างประเทศได้มากขึ้น โดยเราจะมุ่งเน้นขยายการลงทุนที่เวียดนามไม่ใช่แค่ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม แต่เราจะเข้าลงทุนในธุรกิจโลจิสติกส์และพลังงานเพิ่มเติมด้วย” น.ส.จรีพร กล่าวทิ้งท้าย