ปีทองของ CKP ลุ้นกำไรทะลุ 1,000 ล้านบ. Q3/64

HoonSmart.com>>ฝนมาเร็ว-มามาก เป็นสัญญาณบวกต่อบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ชื่อย่อหลักทรัพย์ “CKP” ซึ่งตามวัฏจักรของธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เมื่อเข้าฤดูน้ำหลากเต็มตัว จะเป็นช่วงที่มีกำไรสูงสุดของปี (พีค) โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 ถือเป็นโอกาสทองของบริษัท ที่มีปัจจัยพิเศษหนุน โดยนักวิเคราะห์เชื่อมือในการบริหารน้ำ ว่าบริษัทจะทำกำไรนิวไฮ พร้อมแรงส่งดีต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4 และปี 2565-2566 บางรายเตรียมปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2564 หากฤดูฝนยังตกตามฤดูกาลอย่างต่อเนื่อง และบริษัทเตรียมกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งปีหน้า

นักวิเคราะห์หลายรายคาดว่า CKP จะมีกำไรมากกว่า 1,000 ล้านบาทในไตรมาส 3/2564 สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้จำนวน 831 ล้านบาท และไตรมาส 2/2564 ที่มีกำไรสูงถึง 707 ล้านบาท เพราะมี 5 ปัจจัยบวก ได้แก่

1.ช่วงฤดูน้ำหลาก คาดว่าปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 (NN2) จะสูงขึ้น และได้ประกาศความพร้อมจ่ายไฟฟ้า จำนวน 570 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 41% โดยบริษัทจะบริหารจัดการให้มีระดับน้ำคงเหลือในอ่างเก็บน้ำ ในช่วงปลายปีที่เพียงพอต่อการบริหารจัดการการผลิตในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงที่มีฝนตกน้อยตามฤดูกาล ลดความเสี่ยงได้ดีขึ้น

2.โรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น (BIC) กลับมาเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าตามปกติแล้ว หลังจากมีการหยุดเดินเครื่องบางส่วน เพื่อซ่อมบำรุงย่อยตามแผนในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา

3.โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี (XPCL) สามารถเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตได้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยบริษัทมีการพัฒนาระบบที่ใช้ในการวิเคราะห์คาดการณ์ปริมาณน้ำอย่างต่อเนื่อง สามารถประกาศความพร้อมจ่ายได้แม่นยำมากขึ้น

4.บริษัทเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้นเพิ่มอีก 5% ใน XPCL จากเดิม 37.5% เป็น 42.5% ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป โดยคาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน XPCL จะมากขึ้นตามปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณน้ำไหลผ่านโรงไฟฟ้าเฉลี่ยที่มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และหาก XPCL มีกระแสเงินสดเหลือจากการชำระคืนเงินกู้ ก็จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในช่วงปลายปี 2564

5.อัตราค่าใช้จ่ายทางการเงินรวมเฉลี่ยลดลง หลังจากออกหุ้นกู้มูลค่า 4,000 ล้านบาทในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา โดยได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมิ.ย. นอกจากนี้แนวโน้มค่าใช้จ่ายทางการเงินยังลดลงตามการทยอยชำระคืนเงินต้นให้กับสถาบันการเงิน โดย CKP ได้เตรียมออกหุ้นกู้จำนวนไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ภายในไตรมาสที่ 4 มาชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นที่ใช้ในการชำระค่าซื้อหุ้น XPCL เพิ่มอีก 5% และ XPCL อยู่ระหว่างเตรียมการในการจัดอันดับเครดิต เพื่อออกหุ้นกู้ในปี 2565 ซึ่งหากได้อัตราดอกเบี้ยต่ำลง ค่าใช้จ่ายทางการเงินของ XPCL ก็จะลดลงด้วย

นักวิเคราะห์ยังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น CKP และให้มูลค่าเหมาะสมสูงกว่า 6 บาท/หุ้น
จากการคาดการณ์อนาคตสดใสในระยะยาว

บล.เอเซีย พลัส คาดว่าในไตรมาสที่ 3 กำไรของ CKP มีโอกาสพีคของปีนี้ และหากฝนตกตามฤดูกาล ฝ่ายวิจัยมีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการกำไรทั้งปี 2564 ที่คาดว่าจะเติบโต 152.8% มาอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท เนื่องจากฤดูฝนมาเร็วกว่าทุกปี รวมถึงการจัดการบริหารน้ำที่ดี แต่ขอติดตามดูว่าฝนยังตกตามฤดูกาลอย่างต่อเนื่องหรือไม่ เพื่อการบริหารจัดการน้ำในช่วงหมดฝนงวดไตรมาสที่ 4 รวมถึงฤดูแล้ง ต้นปี 2565 สำหรับในช่วงปัจจุบันการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าแต่ละแห่งดีขึ้น

ขณะเดียวกันโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี เริ่มส่งสัญญาณบวกตั้งแต่เดือน ก.ค. ที่ปริมาณน้ำไหลผ่านเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.3 พัน ลบ.ม./วินาที จากค่าเฉลี่ยในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 2.5 พัน ลบ.ม./วินาที

“แนะนำให้หาจังหวะทยอยสะสมหุ้น CKP เพื่อรับกำไรไตรมาสที่ 3 ที่ยังโตโดดเด่น และราคาปัจจุบันปรับฐานลงจนเริ่มจูงใจ โดยให้มูลค่าหุ้นสิ้นปีนี้ที่ 6.15 บาทต่อหุ้น” บล.เอเซียพลัสแนะนำ

ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาดไตรมาสที่ 3 กำไรสูงสุดที่ 1,000-1,200 ล้านบาท รวมกำไรปีนี้อยู่ที่ 2,267 ล้านบาท โดยมีโอกาสเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่องในปี 2565-2566 หรือกำไรปีละ 3,182 ล้านบาท

นอกจากนี้ CKPower ยังวางแผนการเติบโตในระยะยาว โดยพิจารณาความเหมาะสมของการลงทุนอย่างรอบคอบ เน้นลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ประเภทพลังน้ำ และพลังแสงอาทิตย์ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก พร้อมมองหาโอกาสลงทุนในโรงไฟฟ้าประเภทอื่น รวมถึงศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอีกด้วย

ส่วนการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าหลวงพระบาง สัดส่วน 42% ของทุนจดทะเบียน หากโครงการแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นราว 613 MW จากปัจจุบันที่ 1,003 MW ถือว่าค่อนข้างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ดี CKPower ไม่ได้เน้นการเติบโตเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการบริหารจัดการธุรกิจในเชิงกลยุทธ์ การสร้างผลกำไร และการสร้างความยั่งยืน สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนในระยะยาวอย่างมั่นคง ซึ่งผลงานและรางวัลที่ได้รับ อาทิ หุ้น CKP ติดหนึ่งในดัชนีหุ้นยั่งยืน ประจำปี 2563 สะท้อนว่าบริษัทให้ความสำคัญในการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึง สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) และยังได้รับเลือกเข้าประเมิน ASEAN CG Scorecard 2021 เป็นปีแรก ถือเป็นการยกระดับการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับภูมิภาคอาเซียน โดยจะประกาศผลในปี 2565 เชื่อว่าแนวโน้มหุ้น CKP จะเป็นที่ต้องการของนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในและต่างประเทศมากยิ่งขึ้น

 

ติดตามข่าว หุ้นเด่นระหว่างวัน ผ่านช่องทาง Line OpenChat : https://line.me/ti/g2/wEbsUcMaP2oP45XhK3vYhQ