HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นไทยเดือน ก.ย.2564 ยังไปต่อ เซียนหุ้นหลายค่าย ให้แนวต้าน 1,650 – 1,680 จุด แนะลงทุนหุ้นปลอดภัย เน้นหุ้นใหญ่กลุ่มไฟฟ้า สื่อสาร มองต่างมุมหุ้นเปิดเมือง “หยวนต้า” มองเสี่ยง ขณะที่ยูโอบี เคย์เฮียน แนะลงทุน 50% ขณะที่แรงซื้อต่างชาติต่อเนื่อง ตั้งแต่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา รวม 19,710 ล้านบาท
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทย ช่วงครึ่งแรกของเดือน ก.ย.2564 แนวโน้มยังเป็นขาขึ้นต่อ จากสิ้นเดือน ส.ค.ที่ปรับตัวได้ค่อนข้างดี ประเมินแนวต้านสำคัญที่ 1,650 จุด
ปัจจัยบวกสนับสนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ส่วนต่างระหว่างผลตอนแทนของตลาดหุ้นไทย ดูน่าสนใจกว่าตลาดพันธบัตรสหรัฐ อีกทั้งทิศทางค่าเงินบาท เริ่มแข็งค่าขึ้นมา ตามทิศทางภาคการผลิตที่อ่อนตัวทั่วโลก จึงเป็นปัจจัยที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ
นอกจากนี้ การกระจายฉีดวัคซีนของประเทศ ทำได้ดีต่อเนื่อง โดยเป้าหมายการฉีด 50 ล้านโดส คาดว่าสามารถทำได้ ทำให้การลงทุนหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ที่ได้ประโยชน์ตามการเปิดเมืองมีความน่าสนใจ เนื่องจาก มูลค่าราคาหุ้นยังไม่แพง เมื่อเทียบกับหุ้นขนาดเล็กที่มี P/E ค่อนข้างสูงกว่าค่าเฉลี่ย
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ มองว่าการใช้มาตรการ QE Tapering ของธนาคารกลางสหรัฐ ตลาดหุ้นตอบรับข่าวไปหมดแล้ว ซึ่งควรติดตามว่า ท้ายที่สุดแล้ว วงเงินที่ปรับลดต่อเดือนจะอยู่ที่เท่าไหร่ ส่วนการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ยังไม่เกิดขึ้นในปี 2564 นี้
ด้านการประชุม OPEC+ ที่จะประชุมในวันที่ 1 ก.ย.นี้ ต้องติดตามว่า จะส่งสัญญาณปรับขึ้นกำลังการผลิตรึเปล่า ซึ่งถ้าขึ้นก็คาดว่าจะเป็นไปตามตลาดคาดการณ์ ไม่ได้ผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถ้ายังไม่ปรับขึ้น เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ก็อาจจะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นได้ในระยะสั้นได้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนที่ได้โยชน์ตามปัจจัยบวกข้างต้น ก็ต้องเลือกหุ้นที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ใน SET100 ที่มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยสูงกว่า 100 ล้านบาทต่อวัน นับตั้งแต่ 11 มิ.ย.2564 เป็นต้นมา เพื่อรองรับเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ และควรมี EV/EBITDA ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง สำหรับหุ้นทั่วไป
ส่วนหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน ควรมี PBV ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง รวมถึงต้องเป็นหุ้นที่ยังปรับตัวขึ้นช้ากว่าตลาดอยู่ หรือให้ผลตอบแทนที่แย่กว่า -2.2% เมื่อนำมาพิจารณาแล้วจะได้ 26 หุ้นประจำเดือน ก.ย.2564 ได้แก่ ESSO, OR, PTG, SPRC, BAM, BBL, KBANK, KKP, SAWAD, TTB, CRC, DOHOME, GLOBAL, HMPRO, AP, CPN, STEC, ICHI, BTS, JAS, JMART, TRUE, MAJOR, BGRIM, EGCO และ RATCH
“สำหรับคนที่ไม่มีกระแสเงินสด ให้ทยอยขายหุ้นที่มีกำไรออกมาบ้าง เพื่อไม่ให้เสียโอกาสการลงทุนรอบถัดไป ส่วนใครที่มีเงินสดในมือ ถือตามแนวโน้มตลาดขาขึ้นในระยะสั้นได้ และทยอยปรับพอร์ตตามหุ้นที่แนะนำ ซึ่งถ้าขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 1,650 จุด ก็ลดน้ำหนักการลงทุนลงมา เนื่องจากมูลค่าตลาดค่อนข้างจะตึงตัว” นายณัฐชาต กล่าว
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า การลงทุนช่วงครึ่งแรกของเดือน ก.ย.นี้ ภาพบรรยากาศการลงทุนยังเป็นบวก โอกาสปรับขึ้นต่อได้ แต่กรอบปรับขึ้นจำกัด ให้กรอบแนวต้านที่ 1,650-1,680 จุด ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงยังคงมี จากการที่ฉีดวัคซีนรวมในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้โอกาส เกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ค่อนข้างมีสูง ส่วนครึ่งหลังของเดือน ก.ย.คาดว่า ตลาดจะกลับมากังวลในเรื่องของใช้ QE Tapering อีกรอบ มองกรอบเคลื่อนไหวไว้ที่ 1,600-1,650 จุด
ส่งผลให้กลยุทธ์การลงทุนในเดือน ก.ย.นี้ อยากให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุน โดยแบ่งหุ้นเป็น 2 พอร์ต ส่วนการลงทุนอย่างละ 50% ได้แก่ 1.พอร์ตที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง หรือกลุ่ม Reopening แนะนำ CRC และCPN เนื่องจากพฤติกรรมเริ่มมีแนวโน้มจะกลับมาปกติมากขึ้น ส่วนกลุ่มโรงแรมแนะนำหุ้นที่มีพอร์ตโรงแรมอยู่ในยุโรป ได้แก่ SHR และMINT 2.ลงทุนในหุ้นกลุ่มปลอดภัย ได้แก่กลุ่มโรงไฟฟ้า และสื่อสาร แนะนำ GULF, GPSC, ADVANC และDTAC
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.ย. มีทิศทางก็มีโอกาสปรับขึ้นได้เล็กน้อย โดยมีแนวต้านที่ 1,650-1,660 จุด โดยความเสี่ยงยังมีรออยู่ หลังจากการทยอยเปิดเมือง ทั้งการเมืองภายในประเทศ และจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 อาจจะสูงขึ้น จึงคาดตลาดหุ้นไทยอาจจะเคลื่อนไหวผันผวน นอกจากนี้ปัจจัยที่ทำให้ตลาดผันผวนยังมีผลประกอบการไตรมาส 3/2564 และการขึ้นเครื่อง XD ของหุ้นขนาดใหญ่ในช่วงกลางเดือน ก.ย.นี้
ทั้งนี้จึงอยากให้นักลงทุนระมัดการเข้าเก็งกำไร ซึ่งสามารถขายเมื่อมีกำไรและซื้อเมื่อตลาดพักฐาน ส่วนกลยุทธ์แนะนำหุ้นกลุ่มปลอดภัย ได้แก่ โรงไฟฟ้า , สื่อสาร และกลุ่มที่ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งค่า โดยแนะนำ BGRIM, BCPG, ADVANC และMFEC ส่วนกลุ่ม Reopening ไม่แนะนำการลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากถ้าเกิดการแพร่ระบาดอีกครั้ง กลุ่มดังกล่าวคาดว่าจะเกิดการพักฐาน ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ยังไม่มีการฟื้นตัวที่ดี ซึ่งช่วงครึ่งหลังของเดือน ก.ย.มองว่าก่อนที่จะลงทุน นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับผลประกอบการมากขึ้น