“ประสิทธิ์” โยนผิด “ปริญญา”-“ผู้กองธรรมนมัส” แค่ตัวกลาง เคลียร์ปม DNA

วันนี้ (20 ส.ค.) “ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” ตั้งโต๊ะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ หลังตกเป็นผู้ต้องหาคดีหลอกลงทุนสกุลเงินดิจิทัล (บิทคอยน์) มูลค่า 797 ล้านบาท

ประสิทธิ์ เกริ่นว่า หน้าที่ปัจจุบันของตน คือ การเป็น “Deal maker” หรือการทำให้ผู้ซื้อและผู้ขาย คือ การทำให้นักลงทุนกับผู้ที่จะลงทุนมาเจอกันแล้วจับแมทกันให้ได้ ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มีความรู้ มีประสบการณ์ และมีความเข้าใจเรื่องการลงทุน โดยตนจะทำให้ทั้งสองคนมาเจอกัน ส่วนจะเสร็จหรือไม่เสร็จ จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ อยู่ที่คนสองคน เพราะสองคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ทำธุรกิจร่วมกันเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กร และผู้ถือหุ้นนี่คือสิ่งที่ตนทำ

ประสิทธิ์ เล่าถึงที่มาที่ไปว่าที่ทำให้ได้เข้าไปรู้จัก “ปริญญา จารวิจิต” ว่า “ผมชอบทำธุรกิจใหม่ที่เรียกว่า Blockchain แล้ววันหนึ่งผมก็ได้รู้จักปริญญาผ่านเฟสบุ๊ค โดยปริญญาส่งข้อความมาว่าพี่ๆเราเคยเจอกันนะ ผมบอกว่า ผมจำไม่ได้ และถามว่ากลับว่าคุณเป็นใคร เขาบอกว่าชื่อปริญญา และบอกว่าเขามีความรู้เรื่อง Blockchain เป็นอย่างดี แล้วปริญญาก็บอกว่ามีเพื่อนคนหนึ่ง เก่งมากจะพามาหารือพี่ โดยบอกว่าเป็นเจ้าพ่อบิทคอยน์ และนัดเจอกัน”

ประสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตนเองได้เจอกับ “เออาร์นี โมตาวา ซาริมา” ชาวฟินแลนด์ และ “ชนนิกานต์ แก้วกาสี” หรือ “แตงโม” แฟนสาวของเออาร์นี เป็นครั้งแรก โดยเจอกันที่เมเจอร์รัชโยธิน

“ผมถามเออาร์นีว่าทำอะไรอยู่ ซึ่งต้องยอมรับว่าเออาร์นีเป็นเด็กที่เก่งมาก ฉลาดมาก พอได้สัมภาษณ์ ผมก็ชื่นชมในความเก่งของเออาร์นีมาก ทุกวันเขาจะอ่านรีเสิร์ชทุกเช้า เขายังบอกว่าเขาเก่ง Blockchain ,บิทคอยน์ แล้วเขาก็สอนผมเรื่องบิทคอยน์ ส่วนแตงโมก็นั่งฟัง และคิด โดยแตงโมเป็นเด็กที่จำตัวเลขได้ดี เป็นเด็กดี ผมเลยบอกว่าเรามาทำธุรกิจด้วยกันไหม จากนั้นเราก็เจอกันเรื่อยๆ และแล้วเราก็ได้มีโอกาสร่วมงานกัน”

ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ

สำหรับการทำธุรกิจร่วมกันในครั้งนี้ จะแบ่งออกเป็น 4 ทีม คือ ตนเอง เออาร์นี ปริญญา และ “ชาคริส อาห์มัด” ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทเอ็กเพย์ ซอฟแวร์ โดยปริญญาบอกว่า ตัวเขาเองมีคอนเน็กชั่นในมาเก๊า เกาหลีและมี “บิ๊กคอนเน็กชั่น” มากมาย แต่ตนเองปลื้มในตัวเออาร์นีมากกว่า เพราะเป็นเด็กที่สติ มีความคิด และมีความฉลาด ส่วนชาคริส ตนนัดเจอครั้งแรกแถวๆเอ็มควอเทีย ซึ่งตัวชาคริสบอกว่าตัวเขามีคอนเน็กชั่นที่ยุโรปและสหรัฐ

“เออาร์นีบอกว่าเขาจะทำ Blockchain อาร์บิทราจเอ็กซ์เชนจ์คลิปโตฯ ผมก็ถามว่าจะมีกำไรเท่าไหร่…ซึ่งผมก็มั่นใจว่าปีแรกๆ 400-500 ล้านบาทสบาย ส่วนปริญญาบอกว่า มีคอนเน็กชั่นแวลูประมาณ 1,000 ล้านบาท เมื่อเรารวมๆกันปัจจัยพื้นฐานก็เริ่มแน่น กำไรมันก็ดี ทุกคนก็รักกัน ทำงานด้วยกันมา มาถึงแตงโม แตงโมทำบัญชี ซึ่งแตงโมเป็นคนที่เช็กทุกเม็ด เป็นคนละเอียด ส่วนผมมีหน้าที่เป็นดีลเมกเกอร์ คอยบริการให้ทุกอย่าง”

ประสิทธิ์ บอกว่า ทุกคนมีความเป็นทีมเวิร์กที่ดี แต่เมื่อทำงานได้ 3-4 เดือน วันหนึ่งตนเองเดินเข้าไปหาแตงโม และบอกว่าวันนี้ต้องชำระเงินให้ลูกค้าแล้ว แตงโมตอบกลับมาว่า ได้ชำระเงินให้ลูกค้าไปแล้ว ซึ่งตนก็ถามว่าทำไมลูกค้ายังไม่ได้เงินเลย เพราะตนเองเป็นคนไปเอาหุ้นเขามา แตงโมย้ำอีกครั้งว่าได้จ่ายเงินไปแล้ว จากนั้นตนเองบอกกับแตงโมว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเรียกประชุม แล้วให้แตงโมเป็นคนอัดเทป เพื่อดูว่าใครเป็นคนที่โปร่งใส และใครเป็นคนที่ไม่โปร่งใส

“จากวันนั้นก็มีการประชุม ประชุมกันได้ 3-4 ครั้ง มาถึงครั้งสุดท้ายเดือนต.ค.-พ.ย.2560 ก็เกิดความไม่โปร่งใสขึ้น ซึ่งที่ประชุมถามคำถามมากมาย ผมเป็นคนถาม ปริญญาเป็นคนตอบ โดยผมถามแตงโมว่าต้องชำระเงินให้ลูกค้าแล้ว ทำไมถึงไม่ชำระเงิน แตงโมบอกว่าหนูชำระเงินให้ลูกค้าแล้ว เงินอยู่ที่พี่ปริญญา ให้พี่ปริญญาตอบสิ แล้วก็มีการตอบโต้ไปมา เริ่มมีคำหยาบ ผมเลยยื่นขอยุติการทำงานร่วมกัน แล้วปริญญาก็ขอให้ผมออกจากห้องไป แล้วผมก็ออกจากห้อง”

ประสิทธิ์ กล่าวว่า ในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา เออาร์นีและแตงโมกับปริญญาได้เถียงกันในที่ประชุม จากนั้นเออาร์นีและแตงโมก็เดินออกมาจากห้องประชุม แล้วตนเองกับเออาร์นีก็นัดเจอกันที่ร้านปิ้งย่างแถวเอ็มควอเทีย

“แตงโมเสียหาย เราเสียหาย ก็เลยถามกันว่าเอาอย่างไรดี เพราะหุ้นเราอยู่ที่ปริญญา 500 ล้านบาท แม้ว่ามันจะล็อกจำนำ คือ ไม่สามารถขายหุ้นได้ แต่ก็มีความเสี่ยง เพราะเขาหลอกลูกค้าเรา ส่วนแตงโมก็บอกว่าเออาร์นีโอนบิตคอยน์ไปให้เขา (ปริญญา) จะทำอย่างไรดี คุยกันได้ซักเกือบ 2 ชั่วโมงได้ ผมก็กลับบ้าน แล้วก็มีคนบอกให้เราสองสามคนไปหาผู้กองธรรมนัส (อดีตนายทหารยศร้อยเอก ธรรมมนัส พรหมเผ่า)”

ประสิทธิ์ กล่าวว่า ตอนนี้เป็นช่วงที่พวกตนหน้ามืดตามัวแล้ว และอยากได้ของคืน จึงได้เข้าไปขอความช่วยเหลือจากผู้กองธรรมมนัสในเวลาต่อมา

“ผมอยากได้หุ้นผมคืน แตงโมและเออาร์นีก็อยากได้บิทคอยน์หรือเงินคืน จึงได้เข้าไปขอความช่วยเหลือจากผู้กองธรรมมนัส เราเดินไปหาผู้กอง แล้วบอกว่าผู้กองครับ มีผู้ใหญ่แนะนำมา ช่วยพวกผมด้วย เนื่องจากปริญญาส่งข้อความมาไม่ดี มีการข่มขู่กันนิดหนึ่งว่า “มึงระวังอยู่ประเทศไทยไม่ได้” ผมก็เลยบอกว่ามันน่ากลัวนะ เราเป็นนักธุรกิจ เราไม่ใช่นักเลง เราจึงไปขอความช่วยเหลือจากผู้กองธรรมมนัส ขอให้ช่วยเป็นคนกลางให้เราหน่อย”

ประสิทธิ์ กล่าวว่า จากนั้นผู้กองธรรมมนัสเรียกทั้ง 2 ฝั่งมา คือ ฝั่งเราและฝั่งปริญญา ตนได้ยื่นเอกสารให้ผู้กองธรรมมนัสดูว่าฝั่งตนเองโดนกลั่นแกล้ง โดนรังแก โดนความไม่เป็นธรรมอย่างไร หลังจากนั้นทางผู้กองธรรมมนัสได้เรียกปริญญาเข้ามาคุย แต่ก็รู้ว่าความคืบหน้าเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ตนเองที่ได้รับความเสียหายในเรื่องหุ้น จึงต้องดำเนินการเพื่อให้ได้หุ้นคืนมา โดยเฉพาะหุ้นที่โอนไปให้นายปริญญากว่า 400 ล้านหุ้น

“ผมต้องไฟท์เพื่อให้ได้หุ้นคืนมา เพราะผมให้หุ้นเขาเกินจำนวน แต่เขากลับให้เงินค่าหุ้นแค่ส่วนหนึ่ง ซึ่งในส่วนเออาร์นีกับปริญญานั้น ผมโอนหุ้นไปให้รวมกันกว่า 800 ล้านหุ้น โดยเออาร์นี ได้รับหุ้นไปเมื่อวันที่ 3 พ.ย.2560 จำนวน 185 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 1.23 บาท และวันที่ 17 พ.ย.2560 ได้หุ้น DNA ไปอีก 160 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.50 บาท มีเอกสารลงนามทั้งผู้ซื้อและผู้ขายครบ ส่วนปริญญาผมก็โอนหุ้นให้ครบ แต่เขายังชำระเงินค่าหุ้นไม่ครบ”

ประสิทธิ์ กล่าวว่า “โชคดีที่ได้ผู้กองธรรมมนัสเข้ามาช่วย ไม่เช่นนั้นผมก็ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกับนายปริญญาอีกเยอะแยะมากมาย เพราะเขาชำระค่าหุ้นไม่ครบจากการที่ได้หุ้นไป และผมก็กลัวในคำขู่ ก็เลยขอร้องให้ผู้กองเข้ามาช่วย จากนั้นตามสื่อต่างๆ ก็จะเห็นว่าหุ้นที่โอนให้ปริญญาไปอยู่กับผู้กองธรรมมนัสแล้ว 400 กว่าล้านหุ้น ตรงนี้ทำให้ผมโล่งใจ ซึ่งหุ้นที่อยู่กับผู้กองธรรมมนัสเป็นหุ้นที่ล็อกห้ามซื้อขาย ไม่กระทบผู้ถือหุ้น เพราะเป็นหุ้นที่ล็อกและอยู่กับคนกลาง”

“ผู้กองธรรมมนัสได้เรียกผมเข้าไปคุยอีกครั้งหนึ่ง แล้วถามว่าประสิทธิ์เป็นอย่างไร ผมตอบว่า หุ้นจะขึ้นได้ต้องเป็นไปตามปัจจัยพื้นฐาน ถ้าหุ้นมีกำไร หุ้นเราจะไป ผู้กองก็ถามว่างั้นช่วยหน่อยสิ ผม (ผู้กองธรรมมนัส) กับเพื่อนนักธุรกิจ มีธุรกิจกัน และในอนาคตอาจจะมีธุรกิจใหญ่…แล้วขอให้ผมช่วยหาหุ้นตัวนี้ (DNA) ให้หน่อย หาให้ครบ 65% แต่ราคาไม่เกินหุ้นละ 1.50 บาทนะ ผมก็ถามท่านว่าจะทำธุรกิจอะไร ท่านก็ตอบว่าจะทำธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ ผมก็โอเค”

ประสิทธิ์ กล่าวต่อว่า “ในฐานะที่ผมเป็นดีลเมกเกอร์ ผมก็หาผู้ซื้อกลุ่มหนึ่ง ผู้ลงทุนกลุ่มหนึ่ง และเจ้าของไปนั่งคุยกันว่าจะทำธุรกิจอย่างไร ธุรกิจใหม่จะดีอย่างไร แต่แล้วก็มีข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกันผู้กองฯ ซึ่งผมต้องขอโทษผู้กองธรรมมนัส เพราะท่านเป็นคนกลางมาช่วยไกล่เกลี่ย และมาช่วยผมตรงที่เอาหุ้นจากนายปริญญามาคืนไว้ตรงกลาง”

ประสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีที่ตำรวจบุกบ้านด้วยว่า ตำรวจเขามาดี มีการพูดคุยกันตามปกติเหมือนพี่ถามน้อง น้องถามพี่ ตนเองก็ตอบ โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2560 และเรื่องนี้ตำรวจมาหาตนเองก็เกิดขึ้นเมื่อ 2-3 เดือนที่แล้ว ไม่ใช่ว่าเรื่องเพิ่งเกิด มีการสอบถามว่าตนรู้จักแต่ละคนได้อย่างไร ซึ่งก็ตอบไปหมดแล้ว

“ผมบริสุทธิ์ใจอยู่แล้ว ผมเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง เมื่อเราบริสุทธิ์เราก็เดินไปข้างหน้า ผมก็เข้าไปหาตำรวจเลย เข้าไปพูดในสิ่งที่ผมพูด ผมพูด 10 รอบก็เหมือนเดิม หุ้นผมดูมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เขียนกระดานต่อด้วยเป็นมาร์เก็ตติ้ง ต่อด้วยเป็นผู้อำนวยการ แล้วเป็นผู้ช่วยเอ็มดี และขึ้นมากรุงเทพฯ ผมบอกว่าผมขึ้นมากรุงเทพ จะไม่ทำให้นามสกุลแม่เสียหายแน่นอน”

เมื่อถามว่าวันที่นายปริญญาไม่โอนเงินค่าหุ้น DNA จำนวน 400 ล้านหุ้นมาให้ ได้มีการแจ้งความหรือไม่ ประสิทธิ์ กล่าวว่า “ผมไม่อยากค้าความ และได้ขอให้ผู้ใหญ่เป็นคนกลางระหว่างสองฝั่ง จึงไม่ได้แจ้งความ ส่วนกรณีที่มีปัญหากับเออาร์นี่ เป็นเรื่องความไม่เข้าใจกัน เพราะเออาร์นี่เป็นห่วงว่าจะไม่ได้บิทคอยน์คืน ซึ่งเมื่อโดนหมายเรียกผมก็เข้าพบตำรวจ โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผมก็ได้คุยกับเออาร์นี่แล้ว แต่ให้เขาเป็นคนตอบดีกว่า”

ประสิทธิ์ ย้ำว่า กรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของเออาร์นี่และปริญญา โดยมีชาคริสเป็นคนทำสัญญา ส่วนตนเองทำหน้าที่เป็น “ดีลเมกเกอร์” ส่วนกรณีที่เลือกหุ้น DNA นั้น เป็นไปตามความประสงค์ของลูกค้าทั้งสองฝ่าย ที่มองเห็นผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะเป็นหุ้นที่ทำกำไรได้