‘กลุ่มบีทีเอส-เจมาร์ท” โตเร็ว อัดทุนเฉียด 2 หมื่นล้าน กินรวบธุรกิจ

HoonSmart.com>>”กลุ่มบีทีเอส” เป็นมหามิตร “กลุ่มเจมาร์ท” สร้างความฮือฮาให้กับวงการตลาดหุ้นและธุรกิจ “ยูซิตี้-วีจีไอ” จบบิ๊กดีลซื้อหุ้นเพิ่มทุน “ซิงเกอร์ฯและเจมาร์ท” มูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 19,536 ล้านบาท และ “ยูซิตี้” ยังซื้อหุ้น 75% ของบริษัท แอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต (A LIFE) มูลค่า 2,222 ล้านบาท BTS เลือก “ยูซิตี้” เป็นเรือธงธุรกิจการเงินของกลุ่ม หลังเลิกธุรกิจโรงแรม ขายทรัพย์สินได้เงินมาประมาณ 5,600 ล้านบาท โมเดลธุรกิจใหม่ที่ทั้งสองกลุ่มกำลังวิ่งไปด้วยกัน ด้วยต้นทุนการเงินที่ถูกลง จะสร้างการเติบโตอย่างชัดเจนในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า

ส่วนระยะสั้น VGI และ U ได้กำไรก้อนโต จากการซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าตลาด แต่หุ้น U และ U-P (หุ้นบุริมสิทธิ์) กลับเจอเตะสกัด ไอโม่งดอดขายหุ้น U-P บิ๊กล็อตออกมาจำนวน 5,270 ล้านหุ้น มูลค่าสูงถึง 4,174 ล้านบาท ในราคาต่ำเพียง 0.79 บาท/หุ้น เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา ตบหุ้นลงไปลงพรวดเดียวแตะ 0.91 บาท ก่อนไล่ขึ้นมาปิดที่ 0.97 บาท เป็นโอกาสทองของใครบางคน

บอร์ดบริษัท เจ มาร์ท (JMART) อนุมัติการระดมทุนครั้งใหญ่ 11,674 ล้านบาท ขายหุ้นเพิ่มทุนให้บริษัทวีจีไอ สัดส่วน 15.00% บริษัทยูซิตี้  9.90 % แถม JMART-W6 ในราคาหุ้นละ 30.337 บาท และ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ระดมทุน 7,155 ล้านบาท เพิ่มทุนขายให้บริษัทยูซิตี้ จำนวน 24.90% แถม SINGER-W2 ในราคา 36.3005 บาท นอกจากนี้ยังจะขายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ราคา 36.3005 บาท มูลค่าประมาณ 3,497 ล้านบาท

ดีลนี้นักวิเคราะห์มีมติเอกฉันท์ “ซินเน้อจี้กันได้เป็นอย่างดี” รวมถึง วีจีไอและยูซิตี้ยังมีกำไรติดไม้ติดมือจากการซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าตลาด จึงเชียร์ซื้อหุ้นทั้ง 4 ตัว ได้แก่ VGI, U, SINGER, JMART

“อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท (JMART) ซึ่งทำธุรกิจโฮลดิ้ง กล่าวว่า นับเป็นโอกาสใหญ่ที่กลุ่มเจ มาร์ท ได้ผสานพลังร่วมกับกลุ่มผู้นำในธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจสื่อโฆษณา และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่มีอีโคซิสเต็มครบวงจร ซึ่งการที่บริษัทยูซิตี้และบริษัทวีจีไอเข้ามาซื้อหุ้นครั้งนี้สะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตอีกมากของกลุ่มเรา และยังเข้ามาปลดล็อกเรื่องเงินทุน สามารถทรานฟอร์ม และซินเน้อจี้ ร่วมกันในทุกรูปแบบ

กลุ่มเจ มาร์ท มองการขยายธุรกิจระยะยาวไปอีก 3 – 5 ปี จากเงินเพิ่มทุนก้อนใหญ่ คาดจะได้เห็นการขยายฐานลูกค้า การขยายผลิตภัณฑ์และบริการ ในธุรกิจค้าปลีก การเงิน ประกัน และเทคโนโลยี ไปสู่ขอบเขตการให้บริการที่เป็นมากกว่า Online-to-Offline (O2O) โซลูชั่นส์ บนแพลตฟอร์มธุรกิจสื่อโฆษณาของ VGI ธุรกิจบริการชำระเงิน และธุรกิจโลจิสติกส์

ขณะเดียวกันช่องทางการจำหน่ายของ SINGER ยังถือเป็นเบอร์หนึ่งที่สามารถเข้าถึงลูกค้าผ่านตัวแทนขายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ปัจจุบันมีร้านสาขาและแฟรนไชส์รวมกว่า 2,800 แห่ง รวมทั้งช่องทางร้านค้ากลุ่มสินค้าเทคโนโลยี JAYMART MOBILE และบริษัทในเครือ เป็นเครือข่ายการกระจายสินค้าและเข้าถึงผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง ผสานกับ KERRY เพิ่มโอกาสการต่อยอดธุรกิจโลจิสติกส์ในเครือเจมาร์ทได้รวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งทางด้านเทคโนโลยีทางการเงิน Blockchain  การศึกษาเรื่อง Digital Token และการนำเอา JFIN Token มาใช้บนอีโคซิสเต็มของกลุ่ม BTS เป็นโอกาสในการสร้างระบบนิเวศน์ในเครือเจมาร์ทให้ครบวงจร

นอกจากนี้ JMART ในฐานะเป็นบริษัทแม่ของ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) สัดส่วน 53.95% และผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SINGER สัดส่วน 35.47% พร้อมนำเงินที่ได้ครั้งนี้กว่า 1 หมื่นล้านบาท สนับสนุนแผนเพิ่มทุนของ SINGER มูลค่าราว 1,300 ล้านบาท รองรับการขยายโอกาสในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน และอีกส่วนหนึ่งใช้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ JMT มูลค่าประมาณ 5,300 ล้านบาท รองรับการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหาร ท่ามกลางสถานการณ์ของอุตสาหกรรมที่สนับสนุนการเติบโตของกิจการในอนาคต ทั้งนี้ JMT เป็นผู้บริหารหนี้ด้อยคุณภาพรายใหญ่ของประเทศ

ส่วน SINGER จะได้เงินจากการเพิ่มทุนมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท มีแผนจะนำเงินจำนวน 7,700 ล้านบาท ใช้สนับสนุนการขยายพอร์ตสินเชื่อให้เติบโตโดดเด่นด้วยต้นทุนทางการเงินในระดับต่ำมาก และนำเงินส่วนที่เหลือไปคืนหนี้หุ้นกู้ในอีก 2 ปีข้างหน้า

“เงินเพิ่มทุนที่ได้มาช่วยให้ JMARTมีงบดุลที่แข็งแกร่งขึ้น มีโอกาสที่เครดิตเรทติ้งจะดีขึ้น และการขยายธุรกิจด้วยต้นทุนการเงินที่ลดลงของ SINGER และ JMT จะสะท้อนกลับมาที่ JMART ทำให้กำไรโดดเด่นชัดเจน โดยตั้งเป้าภาพรวมกำไรปีนี้เติบโตไม่น้อยกว่า 50%  ซึ่งยังไม่นับรวมการผนึกพันธมิตรต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ” อดิศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย