แนะจัดพอร์ตสั้น-ยาว ฝ่าหุ้นทะลุ 1,600 จุด

HoonSmart.com>>คิดหนัก! รอบนี้มีโอกาสตีทะลุ 1,600 จุด บล.ดีบีเอสฯแนะพอร์ตเล่นสั้น มีตัวใหญ่ถือต่อไป ส่วนพอร์ตลงทุนกลาง-ยาวให้กอดข้ามปี รอโกยกำไรกว่า 20% ใครยังไม่มีหุ้นรอย่อ ซื้อธีมเปิดเมือง AOT, BH, BDMS บล.บัวหลวงเตือนก.ย.ตลาดร่วงเจอเฟดส่งสัญญาณลดคิวอี ชี้เป้าสิ้นปี 1,605 จุด แนะลงหุ้นไทยแค่ 11% แบ่ง 70% ลงหุ้น Global Growth แนะ IVL-TU-KCE-HANA-CBG อีก 30% ลงหุ้นโตตามเศรษฐกิจ-เปิดเมือง แนะ M-TISCO-KKP บล.โนมูระฯเสนอธีมเก็งกำไรรอเด้ง เน้นหุ้นใน SET 100 ราคา-24.12% ถึง -9.6% ชูหุ้นเด่น TOP, PTTEP, RS ส่วนพอร์ตหลักคงน้ำหนัก 55%

วันที่ 25 ส.ค.ตลาดหุ้นไทยพยายามตีขึ้นแรงติดต่อเป็นวันที่สอง ดัชนีขึ้นไปไกลสุด 1,598.39 จุด เพิ่มขึ้น 16.32 จุด แต่ฝ่าแรงขายทำกำไรไม่ไหว กดดัชนีลงมาปิดที่ระดับ1,586.98 จุด เพิ่มขึ้นเพียง 4.91 จุด ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 1 แสนล้านบาท โดยสถาบันไทยเก็บต่อเนื่อง 1,465 ล้านบาท ต่างชาติซื้อ 1,358 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยขายต่อ 2,915.56 ล้านบาท

“อาภาภรณ์ แสวงพรรค” ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า รอบนี้ดัชนีมีโอกาสขึ้นเหนือ 1,600 จุดหรือไม่ จะต้องติดตามตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ว่าจะเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ หลังจากลงมาเหลือ 1.7 หมื่นราย และการประชุมของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง 26-28 ส.ค. ซึ่งจะเห็นแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายทางการเงิน

นอกจากนี้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ราคาน้ำมันดิบ ก็มีผลต่อทิศทางตลาด หากปรับตัวขึ้นแรง ทำให้หุ้นพลังงานขึ้นมาเด่น ส่วนกลุ่มแบงก์ ช่วงนี้ราคาปรับตัวขึ้นมามาก รับข่าวธปท.ผ่อนคลายการจัดชั้นหนี้ โดยเฉพาะการขยายระยะเวลาการนำส่งเงินเข้ากองทุนฟื้นฟู ทำให้กำไรของกลุ่มในปีนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 6-7% จากเดิมคาดว่าจะทรงตัวจากปีก่อน แต่แบงก์จะมีกำไรมากหรือน้อยแค่ไหนขอไปคุยเพื่อฟังนโยบายการตั้งสำรองของธนาคารแต่ละแห่งก่อน แต่ยังไม่ปรับราคาเป้าหมายของแบงก์

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนต่างชาติที่ขายออกมามากอย่างต่อเนื่อง โดยเงินไหลออก 4 ปีที่ผ่านมา เกือบ 7 แสนล้านบาท จะต้องกลับเข้ามาซื้อ เมื่อสถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้ตลาดไปต่อ ดังนั้นนักลงทุนที่มีหุ้นตัวใหญ่ แนะนำให้ถือรับกำไรต่อไป ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นในมือ ก็รอดูภาพตลาดให้ชัดเจนว่าจะสามารถยืนระดับ 1,600 จุดได้หรือไม่ หากแข็งแกร่งได้มีโอกาสไปต่อ 1,620 จุด แต่ถ้ามีปัจจัยลบเข้ามา ก็เป็นไปได้ที่ดัชนีจะลงไปให้แนวรับแรก 1,560-1,550 จุด

“ถ้าไม่แน่ใจ ต้องแบ่งเงิน 2 ส่วน เช่นพอร์ต 1 ล้านบาท เล่นสั้น 4 แสนบาท ส่วน 6 แสนบาทลงทุน ถ้าซื้อแล้วได้หุ้นราคาถูก แนะให้ถือยาว หากปัจจัยพื้นฐานประเทศดีขึ้น แนะธีมเปิดเมือง AOT เชื่อว่าคนจะต้องกลับมาเดินทางมากขึ้น รวมถึงโรงพยาบาล ที่มีลูกค้าต่างประเทศเยอะ BH และ BDMS  เชื่อว่าถือลงทุนข้ามไปปี 2565 มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง 20-30% หากเปรียบเทียบราคาปัจจุบันกับราคาในอดีต “อาภาภรณ์กล่าว

ด้าน”ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ” กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง คาดหุ้นครึ่งหลัง เจอแรงกดดันจากเฟดส่งสัญญาณ QE Tapering ช่วงเดือน ก.ย. เงินไหลออก ลุ้นสภาพคล่องในประเทศช่วยพยุงตลาด คาดเป้าดัชนีสิ้นปี 1,605 จุด กำไรบจ.ไตรมาส 3 น้อยกว่าไตรมาส 2 กลยุทธ์แบ่งเงิน 70% ลงทุนหุ้น Global Growth แนะ IVL-TU-KCE-HANA-CBG อีก 30% ลงทุน Domestic Plays แนะ M-TISCO-KKP ส่วนปี 2565 คาดตลาดฟื้นเป้าดัชนีสิ้นปี 1,784 จุด

บล.โนมูระ พัฒนสิน (ประเทศไทย) แนะธีมเก็งกำไรรอเด้ง พุ่งเป้าหุ้นใน SET100 ที่ลงมามากกว่า SET -3.33% นับจากจุดสูงสุด 11 มิ.ย. เน้นตัวที่ราคาลงแรง -24.12% ถึง -9.6% ได้แก่ BANPU, RS, TOP, MAJOR, STEC, PTTEP, PTT, AOT, KTC, PLANB, BEC  โดยมีหุ้นเด่น 3 ตัวคือ  TOP, PTTEP, RS

ส่วนพอร์ตหลัก น้นกลุ่มที่จะเด่นกว่าตลาดได้แก่ ได้แก่ โรงไฟฟ้า (GPSC, GULF, BCPG) โรงพยาบาล (BDMS, BH) กลุ่มสื่อสารฯ (ADVANC) ส่งออก (KCE, HANA, SAPPE) โรงกลั่น (TOP, PTTGC) ผสานหุ้นที่มีปันผลระหว่างกาล (TVO, LH) คงน้ำหนักหุ้นที่ 55%