SYNEX โชว์กำไร 2/64 211 ล้านบ. เตรียมรุกตลาด IT มือสอง

HoonSmart.com>>ซินเน็คฯ โชว์กำไรเติบโตทำสถิติสูงสุด Q2/64  ที่ 211 ล้านบาท รายได้รวมอยู่ที่ 8,382 ล้านบาท พร้อมต่อยอดตลาดขายสินค้าไอทีมือสอง SWOPMART ผ่านการลงทุนของบริษัทย่อย โบรกแนะ ซื้อ  ราคาเป้าหมายที่ 36.00 บาท ขณะที่ บล.หยวนต้า แนะราคาเหมาะสมที่ 27.80 บาท

นางสาวสุธิดา มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) (SYNEX)  กล่าวว่า ภาพรวมกำลังซื้อสินค้าไอทีและสินค้าเทคโนโลยียังคงแข็งแกร่ง  ควบคู่แผนขยายขอบเขตการให้บริการด้านไอทีร่วมกับพันธมิตรผ่าน บริษัท ซินเน็ค อินคิวท์เบชั่น จำกัด (Synnex Incubation) บริษัทลูก  เปิดตัวธุรกิจแรกที่เข้าลงทุน คือ บริษัท สวอป มาร์ท จำกัด (SWOPMART) ประกอบกิจการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รุกตลาดไอทีมือสอง

ก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ประกาศ ผลประกอบการไตรมาส 2/64 มีกำไรสุทธิอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 211 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 27% ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 8,382 ล้านบาท และภาพรวมอัตรากำไรขั้นต้นยังคงปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 4.8% จากความต้องการสินค้า IT เพิ่มขึ้น สนับสนุนงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 ซินเน็คฯ มีกำไรสุทธิ 396 ล้านบาท เติบโตถึง 33% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากรายได้รวมทำได้ 17,018 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 6%

ด้าน บล.เคทีบีเอสที แนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 36.00 บาท อิง 2022E PER 32x (+3SD above 5-yr average PER)

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คงคําแนะนํา “ซื้อ” อิงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2564 ที่ 27.80 บาทต่อหุ้น

สำหรับ บริษัท ซินเน็ค อินคิวท์เบชั่น จํากัด ได้เข้าลงทุนในบริษัท SWOPMART โดย SYNEX ถือ 60% และ Partner ถือ 40% เงินลงทุนเริ่มต้นอยู่ในกรอบไม่เกิน 100 ล้านบาท เฉพาะส่วนของ SYNEX บริษัท SWOPMART ทําธุรกิจ marketplace สําหรับสินค้า IT มือสอง เน้นนําเสนอลูกค้า C2C โดย SWOPMART จะเก็บค่าธรรมเนียม 5% ของ GMV สําหรับสินค้าที่ไม่ผ่านการตรวจสอบและออก Certified จาก SYNEX และเก็บค่าธรรมเนียม 7% ของ GMV หากต้องการให้สินค้าผ่านการตรวจสอบ คุณภาพและออก Certificated จาก SYNNEX โดย SWOPMART จะเริ่มให้บริการใน 1-2 เดือนจากนี้

ปัจจุบันมูลค่าตลาด IT มือสองอยู่ที่ราว 5 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นตลาดที่ยังไม่มีผู้นําในตลาด บริษัทฯ คาดหวัง Market share 50% ภายใน 3 ปี หรือหมายถึงรายได้ที่ราว 1,250 ล้านบาท (25,000×5%) และมีกําไรราว 250 ล้านบาท (หรือราว 1% ของ GMV) หรือคิดเป็น 150 ล้านบาท