NOBLE รับยอดขายปี 64 ไม่ถึงเป้า 1.6 หมื่นลบ.แจกปันผล 0.35 บาท

HoonSmart.com>> “โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์” คาดยอดขายปี 64 พลาดเป้า 1.6 หมื่นล้านบาท หวังขั้นต่ำ 8,000-10,000 ล้านบาท ลูกค้าต่างชาติเข้ามาต่อเนื่อง ลุ้นยอดโอน 1 หมื่นล้านบาท หนุน Backlog รับรู้ปีนี้ 2.89 พันล้านบาท มีสินค้ารอขาย-โอนอีก 2.35 พันล้านบาท เตรียมเปิดอย่างน้อย 4 โครงการใหม่  ปิดดีลซื้ออสังหาฯในสหราชอาณาจักรแล้ว 2 โครงการ  อยู่ในมืออีก 3-4 ราย คาดจบปีนี้  เตรียมนำบริษัท SWP เข้าตลาดหลักทรัพย์ปี 65

นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่ายอดขายในปี 2564 จะต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 16,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องรอติดตามสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงไตรมาส 3-4 ต่อเนื่อง เบื้องต้นในในกรณีที่ไม่มีการขายและรับรู้รายได้จากสินค้าใหม่เลย ยอดขายจะทำได้ขั้นต่ำ 8,000-10,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกันเป้าหมายยอดโอนเพื่อรับรู้เป็นรายได้ของปี 2564 ตั้งไว้ที่ 10,000 ล้านบาท บริษัทคาดว่าจะทำได้ตามที่วางไว้ จากการที่มียอดขายรอโอน (Backlog) ในปัจจุบันที่ระดับ 11,864 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้ในปีนี้ 2,890 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ถึงปี 2567 อีกทั้งยังมีสินค้าพร้อมขายและพร้อมโอน อยู่ที่ 2,355 ล้านบาท

สำหรับแผนการเปิดโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะได้อย่างน้อย 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 18,800 ล้านบาท ส่วนอีก 1 โครงการ มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดในช่วงไตรมาส 4 นี้ หรือ ในไตรมาส 1/2565 ขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการอนุมัติของ EIA

บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ทั้งแนวราบและโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น) เพื่อขยายพอร์ตให้มีสินค้าที่กระจายและครอบคลุมมากขึ้น บริษัทฯเริ่มเห็นสัญญาณความต้องการโครงการแนวราบเริ่มกลับมาดีขึ้น ทำให้มีแผนที่จะซื้อที่ดินเปล่า เพื่อมาพัฒนาต่อยอด โดยเงินลงทุนมาจาก กระแสเงินในมืออยู่ที่ 1,600 ล้านบาท มีวงเงินสำหรับกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกอีก 4,500 ล้านบาท โดยมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 1.19 เท่า รวมถึงมีแผนที่จะออกหุ้นกู้ด้วย ตั้งเป้าในปี 2565 จะมีสัดส่วนพอร์ตแนวราบที่ 30% จากปัจจุบันอยู่ที่ 10%

ด้านผลประกอบการ 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมีรายได้รวม 4,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% และกำไรสุทธิ 786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดขายอยู่ที่ 4,265 ล้านบาท โดยยอดขายกว่า 2,500 ล้านบาทมาจากโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ และอีกกว่า 1,700 ล้านบาท มาจาก 2 โครงการที่เปิดตัวไปในช่วงที่ผ่านมา  ส่วนกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 40% ของยอดขายรวมจากทุกผู้ประกอบการในการขายคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล  ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 28% ของยอดขายรวมทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประเทศจีนถึง 88%

ส่วนไตรมาส 2/2564 บริษัทมีรายได้รวม 2,233 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและโครงการบ้านที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจากลูกค้าคนไทยและต่างประเทศมากขึ้น ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 302 ล้านบาท ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19  กดดัน

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงของปี 2564 อัตราหุ้นละ 0.35 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 479 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผล ย้อนหลัง 12 เดือนกว่า 10%  กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 ส.ค.นี้ และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 7 ก.ย.2564  ทั้งนี้บริษัทจ่ายเงินปันผลใกล้เคียงกับกลางปีก่อนที่ 0.3666 บาทต่อหุ้น

นายธงชัยกล่าวถึงการลงทุนในสหราชอาณาจักรว่า ล่าสุดบริษัทฯได้ปิดดีลการซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์แล้ว 2 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 300 ล้านบาท ในเมืองแมนเชสเตอร์ และชานเมืองลอนดอน โดยอยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลกิจการ (Due Diligence) สุดท้าย ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง ปัจจุบันก็เริ่มรับรู้รายได้จากการเช่าแล้วบางส่วน

นอกจากนี้ยังมีดีลลงทุนซื้อโครงการอีก 3-4 โครงการ คาดรู้ผลสรุปภายในปี 2564 นี้ เงินลงทุนประมาณ 55 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง ซึ่งบริษัทฯจะลงทุนตามสัดส่วนที่ 45% ต่อโครงการ ตั้งเป้าหมายการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ในสหราชอาณาจักรในช่วง 3 ปีนี้ (2564-2566) จะใช้งบลงทุนรวมประมาณ 250 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง และคาดว่าจะมีส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในสัดส่วน 20% ของกำไรสุทธิรวม

​นายธงชัย กล่าวเพิ่มเติมถึงการลงทุนในบริษัท บริหารสินทรัพย์ เอส ดับบลิว พี (SWP) โดย NOBLE ถือหุ้น 20% บริษัทได้ใช้เงินทุนไปประมาณ 500-600 ล้านบาท ในการซื้อหนี้เข้ามาบริหาร ปัจจุบันพอร์ตสินเชื่อกว่า 4,000 ล้านบาท มาจากหนี้ที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน  ในอนาคตจะหนี้ออกมาประมูลเพิ่มมากขึ้น และบริษัทดังกล่าวมีกำไรที่ดี  จึงได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว คาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2565