HoonSmart.com>> บอร์ด “สตาร์เฟล็กซ์” เคาะจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.04 บาท/หุ้น พร้อมแจกวอร์แรนต์ฟรีให้ผู้ถือหุ้นเดิม 2 ชุด จำนวน 184.50 ล้านหน่วย หลังไตรมาส 2/64 กวาดรายได้ 428.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% ทำนิวไฮต่อเนื่อง กำไรโต 29.3% ออเดอร์บรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภค และบริโภคโตทะลัก ฟาก CEO “สมโภชน์ วัลยะเสวี” ชี้ครึ่งปีหลังไฮซีซั่นธุรกิจ มีคำสั่งซื้อล่วงหน้าตุน รุกบรรจุภัณฑ์กลุ่มอาหาร-เครื่องมือแพทย์ มั่นใจดันรายได้ปีนี้โตทะลุเป้า 1,560 ล้านบาท
ดร.สมโภชน์ วัลยะเสวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนชั้นนำในประเทศ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 3/2564 ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ในอัตรา 0.04 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 32.8 ล้านบาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้สิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวันที่ 23 ส.ค.2564 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 24 ส.ค.2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 9 ก.ย.2564
นอกจากนี้อนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 เพื่อพิจารณาอนุมัติการออกและจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ครั้งที่ 1 (SFLEX-W1) จำนวนไม่เกิน 82 ล้านหน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) โดยไม่คิดมูลค่า ในอัตราการจัดสรร 10 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ SFLEX-W1 ซึ่งมีอายุ 18 เดือน และสามารถใช้สิทธิได้ครั้งแรกทุก 6 เดือน โดยอัตราการใช้สิทธิอยู่ที่ใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น ที่ราคาใช้สิทธิ 4.50 บาทต่อหุ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมและเพิ่มความแข็งแกร่งด้านการเงินของบริษัท เพื่อให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินในการดำเนินโครงการในอนาคตและการนำไปใช้ในการลงทุนในต่างประเทศ
รวมทั้งอนุมัติการออกและจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ครั้งที่ 2 (SFLEX-W2) จำนวนไม่เกิน 102.50 ล้านหน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) โดยไม่คิดมูลค่า ในอัตราการจัดสรร 8 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ SFLEX-W1 ทั้งนี้มีอายุ 4 ปี และสามารถใช้สิทธิได้ครั้งเดียว ณ วันครบกำหนดอายุฯ โดยอัตราการใช้สิทธิอยู่ที่ใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น ที่ราคาใช้สิทธิ 10 บาทต่อหุ้น จึงรวมเป็นทั้งสิ้นจำนวนไม่เกิน 184.50 ล้านหน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจเพื่อสร้าง s curve ในอีก 3-4 ปีข้างหน้า เพื่อก้าวเป็นบริษัทผลิตบรรจุภัณท์ชนิดอ่อนระดับแนวหน้าของอาเซียน
ทั้งนี้คณะกรรมการยังมีมติอนุมัติเสนอให้พิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 410 ล้านบาท เป็นจำนวน 502.25 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,004.50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยออกหุ้นสามัญจำนวน 184.50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท รวม 92.25 ล้านบาท โดยเพิ่มทุนในลักษณะกำหนดวัตถุประสงค์ในการใช้เงินทุน เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ SFLEX-W1 และ SFLEX-W2
โดยมีกำหนดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 ในวันที่ 3 พ.ย.2564 และกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 16 ก.ย.นี้
ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2564) มีรายได้รวม 428.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 324.7 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ยังคงทำสถิติสูงสุดได้ต่อเนื่อง ขณะที่มีกำไรสุทธิ 38.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8 ล้านบาท หรือ 29.3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 30.1 ล้านบาท
“ในช่วงไตรมาส 2/2564 ภาพรวมผลการดำเนินงานเป็นไปตามคาดการณ์ไว้ และยังสามารถสร้างรายได้รวมที่สร้างสถิติสูงสุดได้อีกด้วย เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้จากการขายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) เพิ่มขึ้นจากคำสั่งซื้อที่ต่อเนื่องจากแผนการขยายฐานลูกค้าในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ที่ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องคำนึงถึงการเตรียมวัตถุดิบให้เพียงพอกับคำสั่งซื้อของลูกค้า แต่บริษัทได้มีแนวทางการรับมือด้วยนโยบายการบริหารต้นทุนอย่างรอบคอบ จึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ต่อไป”ดร.สมโภชน์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ คาดว่าน่าจะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากเป็นช่วง high season ของธุรกิจที่จะมีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมากอยู่แล้ว จึงมั่นใจว่ารายได้จากการขาย Flexible Packaging ในปีนี้จะสามารถเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 1,560 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสร้างสถิติสูงสุดใหม่จากปีก่อน และเป็นไปตามเป้าหมายอย่างแน่นอน