TU กำไรนิวไฮ 2,343 ลบ. มาร์จิ้นโต Q2 แจกปันผล 2% ลั่นครึ่งปีหลังแกร่ง

HoonSmart.com>>”ไทยยูเนี่ยน” โชว์กำไรสูงสุดใหม่ไตรมาส 2/64 ชูกลยุทธ์ความหลากหลาย  เน้นธุรกิจความสามารถทำกำไรสูง ธุรกิจใหม่เพิ่มมูลค่า นวัตกรรม-สตาร์ทอัพ รักษาวินัยทางการเงิน ดูแลธรรมชาติและท้องทะเล มุ่งสู่ความยั่งยืน  มั่นใจเติบโตอย่างเข้มแข็งในระยะยาว บอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลกลางปีนี้ 0.45 บาท/หุ้น

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เปิดเผยผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 2/2564 มีกำไรสุทธิ 2,342.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสแรกที่มีกำไรสุทธิ 1,802.89 ล้านบาท และเติบโต 36.51% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,716.23 ล้านบาท รวม 6 เดือนปีนี้กำไรทั้งสิ้น 4,145.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.7% เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,732.45 ล้านบาท

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กล่าวว่า  ในไตรมาสที่ 2/2564 บริษัททำสถิติกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 36.5% เป็น 2,342.87 ล้านบาท  มียอดขาย 35,883 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 19% เพิ่มขึ้นเทียบกับไตรมาสแรกอยู่ที่ 17.7%

ตลาดหลักๆ ได้แก่ ผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาและในยุโรปบางประเทศ เริ่มมีกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น  ส่งผลให้ธุรกิจบริการด้านอาหารและค้าปลีกในสหรัฐฟื้นตัว ช่วยให้ยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นอยู่ที่ 14,869 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 28.7 % จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดส่งผล กระทบอย่างหนักต่อธุรกิจร้านอาหารในสหรัฐและยุโรป นอกจากนี้บริษัทยังได้รับประโยชน์จากการที่ธุรกิจเรดล็อบเตอร์ ซึ่งเป็นธุรกิจเชนร้านอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำผลงานได้ดีขึ้นมากในไตรมาสที่ผ่านมา

บริษัทฯยังคงให้ความสำคัญต่อเนื่องกับธุรกิจที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง ผลงานไตรมาสที่ 2 ที่ดีขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มของอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าเพิ่มมูลค่า รวมถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสินค้าอื่นๆ อีกด้วย โดยเฉพาะอาหารสัตว์เลี้ยง ได้รับอานิสงส์จากการที่ผู้บริโภคใช้เวลาอยู่กับบ้านมากขึ้นและรับเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากขึ้นด้วย ส่งผลให้ยอดขายของธุรกิจส่วนนี้เพิ่มขึ้น 12.5 % คิดเป็นมูลค่า 5,741 ล้านบาท

ขณะเดียวกันสถานการณ์การแพร่ระบาดในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ความต้องการอาหารทะเลบรรจุกระป๋องเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในไตรมาสที่ 2 สถานการณ์ในบางประเทศเริ่มคลี่คลายและผู้บริโภคเริ่มกลับมามีกิจกรรมต่างๆ นอกบ้านมากขึ้น ทำให้ยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องลดลง 6.8 %คิดเป็นมูลค่า 15,272 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมในครึ่งปีแรก ยอดขายเติบโตขึ้น 4.4% อยู่ที่ 67,007 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 51.7% อยู่ที่ 4,146 ล้านบาท เป็นผลจากการที่บริษัทยังคงได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคทั่วโลก

ปัจจุบันธุรกิจของ TU มีความหลากหลายในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตลาดที่มีอยู่ทั่วโลก ประเภทของผลิตภัณฑ์ และแหล่งที่มาของรายได้  ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ยังคงทำผลงานได้ดี บริษัทยังคงเน้นในเรื่องของความสามารถในการทำกำไร วินัยทางการเงินและธุรกิจใหม่ๆ ที่เพิ่มมูลค่า ในขณะที่ความต้องการอาหารทะเลบรรจุกระป๋องเริ่มปรับตัวสู่ระดับปกติ ประกอบกับสถานการณ์ในประเทศที่เป็นตลาดหลักของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นฟื้นตัว ส่งผลให้ผู้คนออกมาทำกิจกรรมต่างๆ ตามปกติมากขึ้น รู้สึกภูมิใจที่สินค้าของไทยยูเนี่ยนยังคงได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการ และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนที่ใส่ใจสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ว่าจะใช้เวลาอยู่ที่บ้านหรือนอกบ้านก็ตาม

ในเดือนพ.ค. บริษัทได้ทำสัญญาซื้อหุ้นอีก 49 %ที่เหลือของ บริษัท รูเก้น ฟิช รวมถือหุ้นทั้งหมด 100% โดยรูเก้น ฟิช มีสำนักงานใหญ่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเยอรมนี ล่าสุดมีผลประกอบการสูงกว่า 140 ล้านยูโร หรือประมาณกว่า 5,600 ล้านบาท และเป็นผู้นำตลาดอาหารทะเลกระป๋องในประเทศเยอรมนี

ในครึ่งปีแรก บริษัทยังคงดำเนินแผนกลยุทธ์ในการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่เน้นในเรื่องของนวัตกรรมรวมถึงสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุนใน บริษัท วิอาควา บริษัททางด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่พัฒนาการจัดการโรคในสัตว์น้ำ บริษัท บลูนาลู ที่พัฒนาโปรตีนอาหารทะเลจากเซลล์เพาะเลี้ยง และบริษัท อเลฟ ฟาร์มส์ ที่พัฒนาเนื้อสเต็กจากการเพาะเลี้ยงเซลล์

“เราต้องการนำเสนอทางเลือกต่างๆ ให้กับลูกค้าของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี  รวมถึงการสนับสนุนการดูแลรักษาธรรมชาติและท้องทะเล เราจะเห็นผู้บริโภครุ่นใหม่ๆ ทั่วโลกเริ่มเลือกทานอาหารโปรตีนจากพืชควบคู่ไปกับการรับประทานเนื้อปลาและเนื้อสัตว์อื่นๆ โปรตีนทางเลือกนั้นปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณที่น้อยกว่า และกำลังก้าวขึ้นมาเป็นส่วนสำคัญของอาหารทั่วโลก รวมถึงธุรกิจของไทยยูเนี่ยนด้วย”นายธีรพงศ์กล่าว

นอกจากนี้ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทเดินหน้าดูแลชุมชนในพื้นที่ที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ทั่วโลก ภายใต้โครงการ ไทยยูเนี่ยนแคร์ โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งกำลังเผชิญการแพร่ระบาดในรอบที่สาม บริษัทได้บริจาคผลิตภัณฑ์อาหารมากกว่า 200,000 ชิ้น และนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้บริจาคผลิตภัณฑ์รวมมากกว่า 400,000 ชิ้น และมากกว่า 3,300,000 ชิ้นทั่วโลก ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด การดูแลชุมชนยังรวมไปถึงสัตว์เลี้ยงที่ถูกทอดทิ้ง โดยได้บริจาคอาหารแมวเบลลอตต้าและอาหารสุนัขมาร์โวจำนวนกว่า 75,000 กระป๋อง ให้กับศูนย์พักพิงสัตว์เลี้ยง องค์กรสัตว์เลี้ยง ตลอดจนอาสาสมัครในประเทศไทยที่ช่วยเหลือสุนัขและแมวข้างถนนที่เจ็บป่วยและได้รับบาดเจ็บ

บริษัทยังได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ โรงพยาบาล และองค์กรบรรเทาสาธารณภัยต่างๆ ในการให้ความช่วยเหลือ รวมถึงการสนับสนุนเครื่องควบคุมการให้ออกซิเจนแบบอัตราการไหลสูงจำนวน 20 เครื่อง และชุดตรวจโควิดแบบเร่งด่วน สำหรับใช้โดยบุคลากรทางการแพทย์จำนวน 10,000 ชุด รวมมูลค่า 7.2 ล้านบาท ให้กับโรงพยาบาลและจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท

ในไตรมาสที่ 2 นี้ บริษัทได้ตีพิมพ์เผยแพร่รายงานเพื่อความยั่งยืนประจำปี ฉบับที่ 8 โดยมีเนื้อหารายละเอียดการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทั้งอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลก แม้จะมีความท้าทายในเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีตัวอย่างผลงานและความสำเร็จในด้านความยั่งยืน ได้แก่ การเป็นผู้ผลิตอาหารรายแรกและเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยรายแรกที่เข้าร่วมโครงการ EP100 ซึ่งถือเป็นโครงการที่ริเริ่มเรื่องการใช้พลังงานอย่างชาญฉลาดขององค์กร Climate Group โดยมุ่งเป้าในการลดการใช้น้ำและลดของเสียฝังกลบ นอกจากนี้ยังมีการทำงานร่วมกับองค์กรที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกันอย่างต่อเนื่อง เช่น องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ภาคประชาสังคม และบริษัทอื่นๆ เพื่อหาหนทางที่ดีที่สุดในการบรรลุเป้าหมายการทำงานด้านความยั่งยืน

การทำงานด้านความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่ไทยยูเนี่ยนได้ขยายการทำงานด้านการเงินสีฟ้าหรือ blue finance ที่บริหารจัดการการเงินเพื่อโครงการและการทำงานในการอนุรักษ์มหาสมุทร ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์กับทั้งบริษัทและอุตสาหกรรมในภาพรวม โดยเมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา บริษัทได้ออกสินเชื่อส่งเสริมความยั่งยืนเป็นครั้งแรกจำนวน 12,000 ล้านบาท และในเดือนก.ค. ได้ออกหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนเป็นครั้งแรกในประเทศไทย มูลค่า 5,000 ล้านบาท สำหรับนักลงทุนสถาบัน

“บริษัทมองไปยังครึ่งหลังของปี 2564  เชื่อว่ายังมีความสามารถที่สร้างความเติบโตอย่างเข้มแข็ง แต่เรายังคงจับตาดูปัจจัยต่างๆ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดนั้นยังมีความไม่แน่นอนรวมถึงความท้าทายต่างๆ” นายธีรพงศ์กล่าวทิ้งท้าย

ด้านคณะกรรมการบริษัทฯมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปีนี้ที่หุ้นละ 0.45 บาท ให้ผู้ถือหุ้นที่มีชื่อในทะเบียนวันที่ 24 ส.ค. และขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 20 ส.ค. กำหนดจ่ายเงินวันที่ 7 ก.ย. ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนปันผลเท่ากับ 2.05% เทียบกับราคาปิดที่ 22 บาท