หุ้น RMLร่วงเมิน “กลุ่มเคพีเอ็น” โอนทรัพย์ 1.5พันล.รอกำไรปี’65

มาตามนัด! กลุ่ม”ณรงค์เดช”โอนทรัพย์สิน KPNL ร่วม 1,574 ล้านบาท แลกหุ้น RML 14% ยอมจ่ายแพง 1.80 บาท แต่ราคาหุ้นกลับทรุดลง ผิดหวังรับคอนโดมิเนียม 2 แห่งยังไม่สร้าง กว่าจะได้กำไรต้องรอถึงปี 2565 ต่างจากสูตร”ลิปตพัลลภ” โอนพราวด์ฯแลกหุ้น ออริจิ้นฯ เพิ่มตลาดบน เสริมธุรกิจแข็งแกร่ง โตก้าวกระโดด

หุ้นบริษัท ไรมอนแลนด์ (RML) ดีดตัวขึ้น 1.59 บาท สูงสุดในรอบปีนี้ แต่กลับปิดในระดับต่ำสุดของวันที่ 1.46 บาท ลดลง 0.04 บาทหรือ 2.67% เมื่อวันที่ 16 ส.ค.2561ที่ผ่านมา แม้ว่า KPNL ของกลุ่มณรงค์เดช ยอมแลกหุ้น RML จำนวน 597 ล้านหุ้น คิดเป็น 14.31% ของทุนเรียกชำระแล้ว ในราคาสูงถึง 1.80 บาทก็ตาม เป็นเพราะทรัพย์สินที่จะโอนเข้ามาในบริษัทไรมอนแลนด์ มูลค่า 1,574 ล้านบาท คือ โครงการ S19 และโครงการ S28 เป็นคอนโดมิเนียมบนถนนสุขุมวิท มูลค่าโครงการ ประมาณ 2,600 ล้านบาท และ มูลค่าประมาณ 5,100 ล้านบาท ตามลำดับ ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้เชิงพาณิชย์ได้ในปี 2565 ขณะที่ RML มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนแล้วมีผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นในปัจจุบัน และบริษัทยังประสบปัญหาขาดทุนอยู่ 34 ล้านบาทในครึ่งปีแรกนี้

บริษัทแจ้งตลาดหลักทรัพย์ ว่า การชำระเงินค่าสินทรัพย์ให้กับ KPNL แบ่งเป็นการเพิ่มทุนจำนวน 597 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 1,074.60 ล้านบาท และชำระเป็นเงินสดอีก 500 ล้านบาท การได้สินทรัพย์สินมาครั้งนี้ มีลักษณะเป็นการซื้อกิจการหรือรับโอนกิจการของบริษัทเอกชนมาเป็นของบริษัท จะต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนโดยไม่นับส่วนของผู้มีส่วนได้เสีย

นายลี เช เชง เอเดรียน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ กล่าวว่า การได้พันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ จะเป็นการต่อยอดธุรกิจของไรมอน แลนด์ และจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับบริษัท เนื่องจากพันธมิตรมีความชำนาญด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ โดยบริษัทมีความตั้งใจว่าจะพัฒนาโครงการร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม และโครงการ mix-used ต่อไปในอนาคต

ส่วนรูปแบบการโอนสินทรัพย์ของกลุ่มณรงค์เดชให้กับไรมอนแลนด์แลกกับหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ เหมือนกรณีที่กลุ่มลิปตพัลลภ โอนทรัพย์สินของบริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ ให้กับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เมื่อปี 2560 ทำให้บริษัท ออริจิ้น ใช้ แบรนด์ “Park” ในการขายสินค้าราคาระดับบน เสริมกับแบรนด์ของบริษัทที่ทำตลาดกลางและล่าง ส่งผลให้กำไรเติบโตก้าวกระโดดจาก 600 ล้านบาทในปี 2559 พุ่งเป็นกว่า 2,000 ล้านบาทในปี 2560 และปีนี้มีโอกาสเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท และราคาหุ้นพุ่งขึ้นจากไม่ถึง 10 บาท ปรับขึ้นไปอย่างรวดเร็วทะลุ 20 บาท เพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือมาร์เก็ตแคปจาก 5,000 ล้านบาท เป็นทะลุ 30,000 ล้านบาท

ล่าสุด บริษัททริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ ORI ที่ระดับ “BBB-” และปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “บวก” จาก”คงที่” สะท้อนถึงรายได้และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่สูงกว่าที่คาด จากมูลค่ายอดขายรอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) จำนวนมาก คาดว่าฐานรายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเกินกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่อัตราส่วนกำไรจะรักษาระดับเกินกว่า 20% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า