HoonSmart.com>> กกร. ลดเป้าการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 64 เป็น ลบ 1.5 ถึง 0% พร้อมคาดเศรษฐกิจปีนี้ถดถอยต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 หลังรัฐบาลควบคุมการระบาดของโควิดไม่ได้ กระตุ้นรัฐบาลปรับกฎให้เอกชนนำเข้าวัคซีนได้เอง ช่วยเร่งกระจายการฉีดให้พนักงาน
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วม 3 ฝ่าย (กกร.)ประกอบด้วยสมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังวิกฤตและเผชิญความเสี่ยงค่อนข้างมากจากการระบาดระลอกใหม่ที่รวดเร็วและรุนแรง กกร. จึงปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 เป็น -1.5 % ถึง 0.0% จากเดิมคาดโต 0-1.5% ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโควิด-19 และมาตรการเพิ่มเติมของรัฐ ส่วนการส่งออกคาดว่าจะขยายตัว 10.0% ถึง 12.0% จากเดิมคาด 8-10%
ซึ่งเศรษฐกิจไทยเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกปี จากโควิด-19 ระลอกใหม่ที่ส่งผลกระทบตลอดครึ่งปีหลัง การควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังไม่ประสบความสำเร็จ จำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน รวมถึงจำนวนผู้ป่วยสะสมในโรงพยาบาลยังเพิ่มขึ้นในอัตราสูง แม้จะมีการใช้มาตรการ Lockdown มา 14 วัน ทั้งนี้หากการกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชนทั่งประเทศยังทำได้ช้า ทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีอยู่ในภาวะที่ฟื้นตัวได้ยาก และเป็นไปได้สูงที่เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีจะหดตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งอาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2564 เข้าสู่ภาวะถดถอยต่อเนื่องเป็นปีที่สอ งแม้เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งก็ตาม
กกร.เสนอให้ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันบูรณาการมาตรการการจำกัดวงจรของการระบาด โดยการเร่งหาวัคซีนหลักและวัคซีนทางเลือกให้เพียงพอสำหรับความต้องการของประชาชนและสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และการเร่งกระจายการตรวจหาเชื้อโดย Antigen Test Kit เพื่อคัดแยกผู้ติดเชื้อโดยเร็ว
ขณะเดียวกันภาครัฐต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่วิกฤตและถลำลึกกว่าที่คาดไว้มาก โดยจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องของความเพียงพอของงบประมาณ เพดานหนี้สาธารณะควรขยายให้มากกว่า 60% ต่อจีดีพี เป็น 65-70% เพื่อให้เหมาะสมกับภาระกิจในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาวะวิกฤต
ธนาคารแห่งประเทศไทยจำเป็นต้องพิจารณาแนวทางในการผ่อนคลายนโยบายการเงินและมาตรการกับสถาบันการเงินเพิ่มเติมภายใต้ข้อจำกัดที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ใกล้ระดับ 0% เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินของประเทศ
“ธุรกิจทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบจากการระบาดที่ทวีความรุนแรงขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ภาคการส่งออก ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซายาวนานจากมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวด ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs และลูกจ้างแรงงาน สะท้อนจากลูกหนี้ที่อยู่ในการดูแลช่วยเหลือของธนาคารต่างๆ ภายใต้มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1.89 ล้านบัญชี หรือเป็นยอดเงินราว 2 ล้านล้านบาท “ นายผยงกล่าว
ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันสิ่งสำคัญที่ต้องเร่งทำ คือการกระจายฉีดวัคซีน และการปรับกฎเกณฑ์ให้ภาคเอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนได้เอง โดยอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล การให้ภาคเอกชนสามารถนำค่าใช้จ่ายในการดูแลพนักงานมาหักภาษีได้ 2เท่า และต้องการให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายที่ฉีดวัคซีนให้พนักงาน โดยอาจช่วยออก 50%
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า อยากเห็นรัฐบาลตตัวสินใจเร่งนำเข้าวัคซีนและฉีดวัคซีนให้ประชาชน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด และไม่สนับสนุนการ ล็อกดาวน์ประเทศที่เข้มงวดมากกว่าในปัจจุบัน