SCC ลั่น 2 ธุรกิจหนุนกำไรโตต่อ เดินหน้าลงทุน ส่งลูกเข้าตลท.

HoonSmart.com>>ปูนซิเมนต์ไทยคาดสถานการณ์โควิดลากยาวถึงไตรมาส 4  กระทบธุรกิจซีเมนต์-วัสดุก่อสร้าง  ได้ธุรกิจปิโตรเคมี-บรรจุภัณฑ์ช่วยครึ่งปีหลังเติบโต คงเป้ายอดขายปีนี้โต 5-10% หลังสร้างผลงานโดดเด่นในครึ่งปีแรก ยอมรับความไม่แน่นอนเกิดขึ้นเสมอ เดินหน้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนบริษัท CAP ในอินโดนีเซีย   1.42 หมื่นล้านบาท ปิโตรคอมเพล็กซ์ในเวียดนามสร้างรายได้ไตรมาสแรกปี 66 เพิ่มพอร์ตรายได้-กำไรแข็งแกร่ง คาด 3-4 ปีมาจากต่างประเทศสัดส่วน 50% 

นาย รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 คาดว่าจะส่งผลกระทบยาวต่อเนื่องถึงไตรมาส 4/2564 มีผลต่อยอดขายของกลุ่มธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง แต่บริษัทยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากกลุ่มธุรกิจที่อิงกับเศรษฐกิจต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี และธุรกิจแพ็คเกจจิ้ง

ธุรกิจปิโตรเคมียังคงได้รับอานิสงส์บวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯและยุโรป ทำให้มีความต้องการใช้สินค้าเพิ่มขึ้น และราคาสินค้ายังปรับตัวสูงขึ้น จากการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบอย่างรวดเร็ว จึงยังสามารถสร้างผลงานได้ดีในช่วงครึ่งปีหลัง แม้ว่าการแพร่ระบาดโควิด-19 ในภูมิภาคอาเซียนอาจจะกดดันต่อยอดขายของกลุ่มปิโตรในภูมิภาคอาเซียนบ้างในระยะสั้น

“การปิดไซต์งานก่อสร้าง ได้รับผลกระทบประมาณ 20% ขอให้เปิดในส่วนไซต์งานที่มีการควบคุมได้ดี ธุรกิจซีเมนต์ และวัสดุก่อสร้าง ยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดที่คิดว่าความไม่แน่นอนมีค่อนข้างสูง ส่วนความต้องการของเคมีภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ยังไปได้ การบริโภคแต่ละพื้นที่ยังมีอยู่ มีการส่งของได้อยู่ แต่ขึ้นอยู่กับการเดินโรงงานไปได้แค่ไหน สถานการณ์โควิดในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้าค่อนข้างหนัก ส่งผลต่อการอุปโภคบริโภค ภาคอุตสาหกรรมและส่งออก ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะประมาณการอย่างไร จะต้องดูสถานการณ์เป็นอาทิตย์ เป็นเดือน แต่บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายในปีนี้ไว้ที่เติบโต 5-10% หลังจากครึ่งปีที่ผ่านมายอดขายเติบโตสูงถึง 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน”นายรุ่งโรจน์กล่าว

กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่ม (HVA) และกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ ESG รวมถึงการลงทุนต่อเนื่องของธุรกิจอื่นๆในเครือทั้งธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจแพคเกจจิ้ง โดยบริษัทยังคงงบลงทุนในปี 2564 ไว้ที่ 9 หมื่นล้านบาท เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ตอนนี้มีรายได้จากอาเซียน และส่งออกจากไทยประมาณ 44% คาดว่าอีก 3-4 ปีข้างหน้าจะได้สัดส่วน 50% จากโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม  คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาสแรกปี 2566 และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ส่วนใหญ่ขยายไปในภูมิภาค เริ่มมียอดขายและรายได้เข้ามาเพิ่มขึ้น

ล่าสุดคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์  ซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน PT. Chandra Asri PetrochemicalTbk (CAP) ประเทศอินโดนีเซียเป็นเงิน 434 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.42 หมื่นล้านบาท เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นที่ 30.57% โดยชำระงวดแรกซื้อหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 327 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  นำไปลงทุนในโครงการ PetrochemicalComplex แห่งที่ 2 (CAP2) และจะลงทุนเพิ่มอีก 107 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากที่ CAP อนุมัติการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย คาดว่าจะอนุมัติภายในปี 2565 ซึ่งการลงทุนเพิ่มเพราะบริษัทยังมองเห็นโอกาสของธุรกิจปิโตรเคมีในอินโดนีเซียที่มีขนาดใหญ่ สามารถเป็นส่วนในการช่วยต่อยอดธุรกิจและขยายตลาดให้กับบริษัทได้

ส่วนการเตรียมความพร้อมของการนำบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์  เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ปัจจุบันบริษัทและทีมงานที่ปรึกษาทางการเงินยังอยู่ระหว่างการร่วมกันทำงาน  ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้มีการลงทุนในโครงการต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นโครงการร่วมทุน ทำให้มีพันธมิตรที่เกี่ยวข้องจากต่างประเทศทั้งสหรัฐฯและญี่ปุ่น จึงต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องโครงสร้างธุรกิจให้ชัดเจนก่อนเข้าตลาด คาดว่าในช่วงปลายปี 2564 จะเห็นความชัดเจนมากขึ้น

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน บริษัทปูนซิเมนต์ไทย  กล่าวว่า การซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน CAP ไม่มีปัญหาเรื่องเงินทุน เพราะทยอยจ่าย
ปีนี้ ประมาณ 327 ล้านเดอลลาร์สหรัฐ ถ้าโครงการลงทุนสรุปได้ ก็จะเพิ่มทุนอีก 107 ล้านดอลลาร์  กระแสเงินสดไม่เป็นประเด็น บริษัทมีเงินในมือ มากกว่า 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่สร้างการเติบโตของบริษัทในระยะยาว