SCC โชว์กำไร 1.7 หมื่นลบ. Q2 โต 83% ปันผล 8.50 บาท

HoonSmart.com>> “ปูนซิเมนต์ไทย” ไตรมาส 2/64 กำไรสุทธิ 1.7 หมื่นล้านบาท เติบโต 83% จากงวดปีก่อน กวาดรายได้ยอดขาย 1.33 แสนล้านบาท หนุนครึ่งปีกำไรพุ่งเกือบเท่าตัวแตะ 3.2 หมื่นล้านบาท บอร์ดเคาะปันผล 8.50 บาท/หุ้น จ่ายผู้ถือหุ้นรวม 1 หมื่นล้านบาท ขึ้น XD 13 ส.ค.นี้ พร้อมอนุมัติ “เอสซีจี เคมิคอลส์” ซื้อหุ้นเพิ่มทุน PT. Chandra Asri กว่า 1.43 หมื่นล้านบาท ลุยปิโตรคอมเพล็กซ์แห่งที่ 2 ในอินโดนีเซีย

บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2564 กำไรสุทธิ 17,136.23 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 14.28 บาท เติบโต 83% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 9,383.87 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 7.82 บาท

ส่วนงวด 6 เดือน ปี 2564 กำไรสุทธิ 32,050.19 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 26.71 บาท เติบโต 96% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 16,355.07 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 13.63 บาท

คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค.-30 มิ.ย.2564 อัตราหุ้นละ 8.50 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 10,200 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 16 ส.ค. 2564 ขึ้น XD ไม่ได้รับสิทธิปันผล 13 ส.ค. 2564 และจ่ายเงินปันผล 27 ส.ค. 2564

สำหรับงวดไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายที่แข็งแกร่งอยู่ที่ 133,555 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับปริมาณขายที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะมีผลกระทบจากปัญหาเรื่องการขนส่ง EBITDA เท่ากับ 32,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น ประกอบกับเป็นช่วงที่มีเงินปันผลรับจากบริษัท ทั้งนี้ เมื่อเทียบไตรมาสแรกบริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสก่อน ผลจากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสำหรับงวดเพิ่มขึ้น 83% สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น ขณะที่ EBITDA เพิ่มขึ้น 39% สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และเงินปันผลรับจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 39% สาเหตุหลักจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น

ส่วนครึ่งปีแรกของปี 2564 มี EBITDA เท่ากับ 55,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการขายเท่ากับ 255,621 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากราคาขายและส่วนต่างราคาของสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น ประกอบกับมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง มีกำไรสำหรับงวดในไตรมาส 2 ปี 2564 เท่ากับ 2,263 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายเท่ากับ 29,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากช่วงเดียวกันของปี ก่อน และมี EBITDA เท่ากับ 5,564 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสนี้ EBITDA Margin อยู่ที่19% คงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

นอกจากนี้ครึ่งปีแรกของปี 2564 บริษัทฯมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม 11,405 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,455 ล้านบาท หรือ 287% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมในธุรกิจเคมิคอลส์คิดเป็น 66% ของทั้งหมด หรือเท่ากับ 7,514 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,354 ล้านบาท ขณะที่มีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมจากธุรกิจอื่น เท่ากับ 3,891 ล้านบาท หรือคิดเป็น 34% ของทั้งหมด เพิ่มขึ้น 2,101 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและมีเงินปันผลรับในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 เท่ากับ 7,346 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,425 ล้านบาท หรือ 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

คณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCC ถือหุ้นทั้งหมดเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน PT. Chandra Asri PetrochemicalTbk (CAP) ประเทศอินโดนีเซีย เป็นเงิน 434 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 14,260 ล้านบาท เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นใน CAP ที่ 30.57% โดยจะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน 327 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะนำไปลงทุนในโครงการ PetrochemicalComplex แห่งที่ 2 (CAP2) โดยราคาหุ้นเพิ่มทุนขึ้นอยู่กับราคาที่ CAP จะประกาศต่อไป

เอสซีจี เคมิคอลส์ จะลงทุนเพิ่มอีก 107 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ CAP อนุมัติการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (Final Investment Decision) ในโครงการ CAP2 ซึ่งคาดว่าจะอนุมัติภายในปี 2565

ทั้งนี้ เอสซีจี เคมิคอลส์ได้เข้าซื้อหุ้น CAP ครั้งแรกในปี 2554 ที่สัดส่วน 30% หลังจากนั้นได้มีการซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพิ่มเติมใน CAP เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และขยายกำลังการผลิต ทำให้ปัจจุบัน เอสซีจี เคมิคอลส์มีสัดส่วนการถือหุ้นใน CAP ที่ 30.57% โดยเล็งเห็นว่าการลงทุนใน CAP เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่อขยายธุรกิจปิโตรเคมีไปยังประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีตลาดสินค้าปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน (ASEAN) และมีอัตราการเติบโตสูง

SCC มีความยินดีในการร่วมสนับสนุน CAP และต้อนรับบริษัท ไทยออยล์ (TOP) ในฐานะผู้ร่วมลงทุนรายใหม่เชิงกลยุทธ์ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของโครงการ CAP2 ในด้านวัตถุดิบ