ถึงแม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าจะกลับมาเพิ่มขึ้นแตะระดับ 50,000 คนต่อวันอีกครั้งในประเทศสหรัฐฯและอังกฤษ แต่อัตราการเสียชีวิตกับมีแนวโน้มลดลงสวนทางกับยอดผู้ติดเชื้อใหม่ในประเทศ สอดคล้องกับผลการศึกษาของมหาวิทยาลัย จอนส์ ฮอปกินส์ ที่เปรียบเทียบให้เห็นว่าในจำนวนประชากรทั้งหมด 1 ล้านคน ประเทศที่พัฒนาแล้วมีอัตราการเสียชีวิตจากไวรัสโควิดต่ำกว่า 20 คน ซึ่งแตกต่างจากประเทศกำลังพัฒนา ที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 40 คน แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงกว่าของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว
นอกจากนี้ตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 2 ของสหรัฐฯ และยุโรปที่ทยอยประกาศออกมา ส่วนใหญ่ยังมีแนวโน้มสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด โดยปัจจุบันดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ รายงานผลประกอบการออกมาแล้ว 120 บริษัท พบว่า 88% ของบริษัทที่รายงานออกมามีกำไรมากกว่าคาด และมีกำไรรวมสูงกว่าที่ตลาดคาด 17.3% ขณะที่ดัชนี STOXX600 ของยุโรป รายงานผลประกอบการออกมาแล้ว 132 บริษัท พบว่า กว่า 50% ของบริษัทที่รายงานออกมามีกำไรมากกว่าคาด และมีกำไรรวมของ 132 บริษัท สูงกว่าที่ตลาดคาด 17.7% ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯและยุโรปยังคง Outperform ตลาดหุ้นภูมิภาคอื่น ๆ
ขณะที่ตลาดหุ้นจีนยังเผชิญกับปัจจัยกดดันเฉพาะตัวอยู่ โดยล่าสุดรัฐบาลจีนได้ประกาศมาตรการควบคุมธุรกิจการศึกษานอกเวลาเรียน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองและปัญหาความเครียดของเด็กนักเรียน เช่น การไม่ออกใบอนุญาตให้ผู้ประกอบการรายใหม่ ห้ามโรงเรียนกวดวิชาเข้าตลาดหุ้นและระดมทุนจากภาคเอกชน รวมถึงบริษัทที่ให้บริการในปัจจุบันจะต้องเปลี่ยนเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ส่งผลให้หุ้นโรงเรียนกวดวิชา อย่าง TAL Education , New Oriental Education และ Gaotu Techedu ปรับตัวลงกว่า 80% ภายในสองวันทำการ ส่งผลให้ในระยะสั้นตลาดหุ้นจีนยังมีความเสี่ยงด้าน Regulatory Risks เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (กองทุน MCHINA ไม่มีการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้)