HoonSmart.com>> “สยามเทคนิคคอนกรีต” พร้อมเทรดวันแรก SET 23 ก.ค.นี้ มั่นใจนักลงทุนตอบรับ ชูศักยภาพการผู้นำโรงงานคอนกรีตอัดแรงรายใหญ่ของไทย มีแผนขยายฐานการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ รับโอกาสจากการลงทุนในงานโครงสร้างพื้นฐาน หนุนปัจจุบัน Backlog ในมือแข็งแกร่งเกินเป้า จ่อประมูลบิ๊กโปรเจ็กต์ ชี้ราคา IPO 2.78 บาท เหมาะสมปัจจัยพื้นฐาน ด้านบทวิเคราะห์จากบล.ชั้นนำ 10 แห่ง ประเมินกรอบราคา 3.22 – 3.93 บาทต่อหุ้น สร้างความน่าสนใจลงทุน
นายวัฒน์ชัย มงคลศรีสวัสดิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต (STECH) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงรายใหญ่ เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 23 ก.ค.2564 เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจที่แข็งแกร่ง และโอกาสการเติบโตรับอานิสงส์การลงทุนในประเทศ
บริษัทฯ มีแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุน จำนวนประมาณ 550 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) นำไปใช้ขยายธุรกิจเสาคอนกรีตอัดแรง ประมาณ 298 ล้านบาท ตามโครงการที่วางไว้ โดยลงทุนในโรงงานใหม่ 2 แห่งที่ชลบุรี และมุกดาหาร รวมทั้ง เพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานเดิม ย้ำจุดแข็งการมีโรงงานกระจายอยู่หลายภูมิภาคของประเทศไทย นอกจากนี้เงินที่ได้จากการระดมทุนส่วนหนึ่งจะใช้คืนเงินกู้ระยะสั้นประเภทตั๋วสัญญาใช้เงินจากสถาบันการเงิน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลงและอีกส่วนหนึ่งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน การขยายงานต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและผู้ถือหุ้น เป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในระยะยาวต่อไป
อย่างไรก็ดี ภายใต้สถานการณ์โควิดนับเป็นอีกความท้าทายของบริษัทในทุกอุตสาหกรรม แต่บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับ ภาพรวมงานโครงสร้างพื้นฐานที่ขยายตัว ส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัทฯ มีงานในมือที่รอส่งมอบ (Backlog) เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ และมีโอกาสประมูลงานเพิ่ม จึงเชื่อว่า จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานในปี 2564 เป็นไปตามเป้าหมาย เติบโตจากปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทมีรายได้รวม 1,550.33 ล้านบาท กำไรสุทธิ 140.60 ล้านบาท
ด้าน STECH เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.2564 กำไรสุทธิ 32.89 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.06 บาท เพิ่มขึ้น 6.18% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 30.98 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.06 บาท
นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมสายงานวาณิชธนกิจ – ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม เปิดเผยว่า มั่นใจ STECH เข้าซื้อขายในตลาดจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างคึกคัก หลังจากเปิดจองซื้อหุ้น IPO จำนวนทั้งสิ้น 203.50 ล้านหุ้น พบว่า กระแสตอบรับและความต้องการหุ้นของ STECH มีมากกว่าจำนวนที่จัดสรร เนื่องจากเป็นหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตและขาขึ้นอย่างชัดเจน ได้รับอานิสงส์การลงทุนในงานโครงสร้างพื้นฐานและงานสาธารณูปโภคของประเทศ
ผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ถือเป็นปัจจัยสี่ที่สำคัญสำหรับใช้ในงานก่อสร้าง และความได้เปรียบจากโรงงาน ปัจจุบันมีจำนวน 9 แห่ง ครอบคลุม ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และโรงงานแห่งที่ 10 ที่ชลบุรี สาขา 2 จะแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ปีนี้ รวมทั้ง โรงงานแห่งที่ 11 ที่มุกดาหาร จะแล้วเสร็จในปี 2567 รองรับดีมานด์ในตลาดที่อยู่ในระดับสูง และมองว่า STECH จะโดดเด่นรับปัจจัยบวกในครั้งนี้
นายคมกฤต มีคำสัตย์ กรรมการผู้จัดการสายงานตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวเพิ่มเติมว่า STECH กำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ในราคาหุ้นละ 2.78 บาท คิดเป็น P/E ที่ประมาณ 14.14 เท่า เป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับศักยภาพในการเติบโต จากฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้น เมื่อเทียบกับปัจจุบันกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น
จากภาพรวมอุตสาหกรรมการก่อสร้างที่ถูกคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ทำให้ในปัจจุบันค่าเฉลี่ย P/E ของบริษัทจดทะเบียนซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำรวม 10 บริษัทหลักทรัพย์ ประเมินกรอบราคาเหมาะสม STECH อยู่ที่ 3.22 – 3.93 บาทต่อหุ้น ซึ่งยังไม่นับรวมโอกาสการเติบโตที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ในอนาคต
นางสาวจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเสริมว่า มั่นใจ STECH จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ในวันเปิดการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยโอกาสในการเติบโตของบริษัทฯ และการขยายธุรกิจแบบ Growth Stock พร้อมด้วยนโยบายการจ่ายปันผลที่ดีในอัตราไม่ต่ำกว่า 40%
ขณะที่ผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2561 – 2563) กำไรสุทธิเติบโตขึ้นชัดเจน อยู่ที่ 85.74 ล้านบาท 93.23 ล้านบาท และ 140.60 ล้านบาทตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 4.75% 5.44% และ 9.07% ตามลำดับ แม้ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ไม่ได้เป็นปัจจัยลบต่อบริษัทฯ มากนัก เนื่องจาก โรงงานยังเดินหน้าผลิตสินค้า เพื่อสนับสนุนความต้องการใช้คอนกรีตอัดแรงในการก่อสร้างโครงการต่าง ๆ และนโยบายภาครัฐ จะเป็นปัจจัยเร่งสนับสนุนให้ STECH มีงานในมือที่แข็งแกร่ง และเติบโตในอนาคต
ทั้งนี้ STECH เป็นหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงรายใหญ่ของประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า “STEC” รวมถึง การให้บริการขนส่งผลิตภัณฑ์และบริการตอกเสาเข็ม อีกทั้ง บริษัทฯ ยังให้บริการรับเหมาก่อสร้าง ประเภทงานติดตั้งระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 115 kV และงานออกแบบจัดหาพร้อมติดตั้งเคเบิลใยแก้วนำแสง
บริษัทฯ เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 203.50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 28.07% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยปัจจุบัน STECH มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วก่อน IPO 521.50 ล้านบาท และหลัง IPO 725 ล้านบาท
อ่านข่าว