BAY ฟันกำไร Q2 แตะ 1.4 หมื่นลบ.โต 122.1% ขายเงินติดล้อ

HoonSmart.com>>BAY แจ้งไตรมาส 2 ปี 64 มีกำไร 14,621 ล้านบาท โต 122.1% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ส่วน 6 แรกปีนี้มีกำไร21,048 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.5% จากการขายหุ้นบริษัท ”เงินติดล้อ”

นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) แจ้งว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 64 ธนาคารมีกำไร 14,621 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 64 ที่มีกำไร 6,584 ล้านบาท หรือ 122.1%

ขณะที่ครึ่งแรกของปี 2564 มีกำไรสุทธิ จำนวน 21,048 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.5% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย จากการบันทึกกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นในบริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) (เงินติดล้อ) ในไตรมาสสองของปี 2564

แต่หากไม่รวมการบันทึกกำไรพิเศษ กำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจปกติสำหรับครึ่งแรกของปี 2564 ลดลง 5.0% หรือจำนวน 678 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อช่วยลดภาระทางการเงินให้กับลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยืดเยื้อ

ส่วนเงินให้สินเชื่อรวม สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ 3.5% หรือ 9,775 ล้านบาท ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อเพื่อรายย่อยลดลง 1.2% และ 1.6% ตามลำดับ ด้านเงินรับฝาก เพิ่มขึ้น 3.1% หรือ 56,434 ล้านบาทจากสิ้นเดือนธันวาคม 2563 โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินรับฝากออมทรัพย์

สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งจำนวน 11,913 ล้านบาท หรือ 75.0% จากช่วงครึ่งแรกของปี 2563 โดยมีปัจจัยหลักจากการบันทึกกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นในบริษัท เงินติดล้อ ด้านอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ อยู่ที่ 43.4% เทียบกับ 41.4% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ทั้งนี้ หากรวมกำไรจากการขายหุ้นเงินติดล้อ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 37.1%

ขณะที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 2.03% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 เมื่อเทียบกับ 2.00% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ อยู่ในระดับสูงที่ 175.8% เมื่อเทียบกับ 175.1% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 และอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 17.80% ลดลงจาก 17.92% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563