HoonSmart.com>> “อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค” มองครึ่งปีหลังธุรกิจเฟอร์นิเจอร์โตต่อเนื่อง เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น รับอานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อน เศรษฐกิจโลกฟื้น หนุนออเดอร์ส่งออกอเมริกา จีน อินเดีย พุ่ง เตรียมขยายกำลังการผลิต เร่งเครื่องบริษัทย่อย ลุยขยายช่องทางจำหน่ายออนไลน์ ปั๊มยอดขายทั้งในและต่างประเทศ พร้อมรับรู้กำไรจากธุรกิจพลังงาน โรงไฟฟ้ามินบูต่อเนื่อง
นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ช่วงครึ่งปีหลัง 2564 มีแนวโน้มการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นธุรกิจ ประกอบกับเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้บริษัทมีปริมาณออเดอร์ส่งออกเฟอร์นิเจอร์ปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์ค่าเงินบาทอ่อนตัวด้วย
สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมุ่งเน้นขยายตลาดในประเทศ กระตุ้นยอดขายผ่านช่องทางจำหน่ายใหม่ อาทิ ร้านโมเดิร์นเทรดชั้นนำที่มีสาขาทั่วประเทศพร้อมกับแผนการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทมุ่งเน้นการขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านออนไลน์ ล่าสุดเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท บริษัท โซเมว่า พลาซ่า จำกัด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจออนไลน์แพลทฟอร์ม และคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการจำหน่ายผ่านช่องทางดังกล่าวได้ในไตรมาส 4/64 ซึ่งถือเป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในประเทศ รวมถึงสร้างความหลากหลายของช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับบริษัท
ขณะที่ตลาดต่างประเทศ ในช่วงที่ผ่านมามีรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาเป็นสำคัญ สำหรับลูกค้าในประเทศอื่น ๆ อาทิ อินเดีย จีน โอกาสในการสั่งซื้อสินค้าเริ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไตรมาส 3/64 คาดว่าจะมีคำสั่งซื้อเข้ามามากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่งผลให้บริษัทวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับคำสั่งซื้อ ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากยอดขายต่างประเทศอยู่ที่ 58% และในประเทศอยู่ที่ 42% นอกจากนี้ยังได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจด้วย
ด้านธุรกิจพลังงานทดแทน ที่ผ่านมารับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 220 MW เมืองมินบู ประเทศเมียนมาร์ โดยเข้าลงทุนในสัดส่วน 20% สำหรับเฟสแรก (50 MW จำหน่ายไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว) สำหรับเฟส 2 3 และ 4 ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องแม้จะมีสัญญาณความล่าช้าเกิดขึ้นบ้างจากสถานการณ์ COVID-19 และการเมืองภายในเมียนมาร์ โดยคาดว่าการก่อสร้างจะเสร็จสิ้นครบทั้งสี่แฟสภายในไม่เกินสิ้นปี 2565 นี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าภายในปีนี้ จะยังคงรักษาการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ 10-12% และรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในช่วงใกล้เคียงกันกับปีก่อนภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และยังคงมุ่งมั่นที่จะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรในธุรกิจต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง