YLG คาดทองครึ่งปีหลัง บาทอ่อนดันราคา 30,400 บ.

HoonSmart.com>> “วายแอลจี” ประเมินครึ่งปีหลัง ราคาทองมีโอกาสขึ้นทดสอบ 1,960 ดอลลาร์สหรัฐ และเงินบาทอ่อนค่าทะลุ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทองไทยมีลุ้นแตะ 30,400 บาท  หลังเห็นสัญญาณบวก หากเฟดไม่เร่งถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การแพร่ระบาดสายพันธุ์เดลต้าไม่รุนแรงขึ้น

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 64 ที่ผ่านมาแม้ราคาทองคำในตลาดโลกจะปรับตัวลดลง 6-7% ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากแรงขายหลังการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำเดือน มิ.ย.ที่ส่งสัญญาณเตรียมถอนคันเร่งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทางการเงิน แต่ล่าสุดรายงานการประชุมชี้ว่ากรรมการเฟดส่วนใหญ่มองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในขณะนี้ยังไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของเฟดที่ต้องการเห็นเศรษฐกิจ “substantial further progress” สะท้อนว่าเฟดยังคงระมัดระวังในการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย

ขณะที่รอบของการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในแต่ละปีจะปรับตัวขึ้นไปในช่วงไตรมาส 3-4 และจะเริ่มปรับลดลงในไตรมาส 1-2 ทำให้อาจเห็นสัญญาณบวกอีกครั้งในครึ่งปีหลัง โดยการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในปีนี้ก็ยังถือว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี เมื่อต้นปี YLG ได้ให้เป้าหมายการเคลื่อนไหวของราคาทองคำไว้ที่ 1,960 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาราคาทองคำก็เข้าไปใกล้เป้าหมายดังกล่าว แต่ยังไม่สามารถผ่านไปได้ จึงปรับตัวลดลงเพื่อสะสมกำลังอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ YLG ยังมองว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้นไปทดสอบเป้าหมายดังกล่าวอีกครั้ง หากเฟดยังไม่เร่งถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ หากการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลต้ารุนแรงขึ้น

ทั้งนี้ ในปีนี้ราคาทองคำในประเทศมีแนวโน้มจะปรับตัวมากขึ้นราคาทองคำในตลาดโลก เพราะราคาทองคำในประเทศได้รับแรงหนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าทะลุ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ทองไทยมีลุ้นแตะ 30,400 บาทต่อบาททองคำ หากราคาทองโลกแตะเป้า 1,960 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำในครึ่งหลังของปีนี้หลักๆมาจาก 5 ปัจจัย ได้แก่

1. นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) แม้ว่าช่วงครึ่งปีแรกจะมีความกังวลเรื่องเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าที่คาด แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจแม้จะเริ่มมีสัญญาณดีขึ้นแต่ก็ไม่ได้ดีพอที่จะทำให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ อย่างไรก็ดีประเด็นนี้ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าการประชุมของเฟดในแต่ละครั้งจะส่งสัญญาณอย่างไรบ้าง เพราะหากเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย หรือ เริ่มต้นลดวงเงิน QE เร็วกว่าคาด จะถือเป็นความเสี่ยงด้านต่ำต่อการคาดการณ์เชิงบวกของราคาทองคำ

2. การแพร่ระบาดของโควิด 19 ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตา แม้ทั่วจะมีการกระจายวัคซีนอย่างแพร่หลาย แต่การกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด 19 ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

3. ค่าเงินสกุลหลัก ทั้งดอลลาร์สหรัฐ และยูโร เป็นสกุลเงินที่มีผลต่อการไหลเข้าออกของเงินลงทุนในตลาดทองคำ โดยราคาทองคำส่วนมากจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับดอลลาร์สหรัฐ และเคลื่อนไหวทิศทางเดียวกับยูโร แต่ก็มีบางครั้งที่ทองคำเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับดอลลาร์สหรัฐ เช่น กรณีที่นักลงทุนโยกเงินจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งหมายถึง ทองคำ และดอลลาร์สหรัฐ

4. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งหากผลตอบแทนเริ่มลดลงนักลงทุนก็เริ่มประเมินว่าเส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มมีความเสี่ยง และจะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย

5. อุปสงค์ทองคำ ทั้งกระแสเงินทุนไหลเข้า-ออก กองทุน ETF ทองคำ อุปสงค์ทองคำกายภาพจากจีนและอินเดีย และแรงซื้อทองคำจากธนาคารกลาง