ดาวโจนส์ปิดบวกกว่า 100 จุด รับรายงานการประชุมเฟด

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดบวก ดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 104 จุด รับรายงานประชุมเฟด ยังเสียงแตกเรื่องระยะเวลาลดวงเงิน QE ด้านตลาดหุ้นยุโรปบวก ราคาน้ำมันดิบลดลงกว่า 1%

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 7 กรกฎาคม2564 ปิดที่ นัก34,681.79 จุด เพิ่มขึ้น 104.42 จุด หรือ 0.30% หลังจากรายงานการประชุมเดือนมิถุนายนของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลาง(เฟด) ที่ส่งสัญญาณว่าคณะกรรมการฯ ยังเห็นต่างในเรื่องระยะเวลาที่จะยกเลิกนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายที่นำมาใช้ในช่วงวิกฤติโควิด

ดัชนี S&P 500 และ ดัชนี Nasdaq ปิดที่นิวไฮ จากการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลงมาที่ 1.306%
ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,358.13 จุด เพิ่มขึ้น 14.59 จุด, +0.34%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,665.06 จุด เพิ่มขึ้น 1.42 จุด, +0.01%

หุ้นแอปเปิล เพิ่มขึ้น 1.8% หุ้นแอมะซอน เพิ่มขึ้น 0.57% หุ้นไอบีเอ็ม เพิ่มขึ้น 0.75% หุ้นอัลฟาเบท เพิ่มขึ้น 0.23%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตร โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ลดลง 0.8% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลดลง 0.59%

รายงานการประชุมวันที่ 15-16 มิถุนายน ของเฟดทำให้ความคิดของเฟดเรื่องระยะเวลาที่จะปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดขึ้น ทั้งการซื้อพันธบัตรและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับใกล้ศูนย์ชัดเจนขึ้น โดยระบุไว้ว่า มีกรรมการ 2-3 คนที่คาดว่าภาวะเศรษฐกิจตามที่คณะกรรมการประเมินไว้สำหรับการพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนั้น อาจจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ในเดือนมีนาคม และมีกรรมการบางส่วนที่รีรอที่จะปรับนโยบายการเงินก่อนที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวเต็มที่จากการระบาด
รายงานระบุว่า คณะกรรมการฯได้หารือเกี่ยวกับการลดการซื้อพันธบัตรแต่ไม่รีบร้อนที่จะเริ่มกระบวนการ

นักวิเคราะห์จาก Capital Economics ระบุว่า รายงานการประชุมของเฟดไม่ได้มีท่าทีการปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดอย่างที่คาด โดยดูจากค่ากลางของการประมาณการณ์อัตราดอกเบี้ยซึ่งคาดว่า จะมีการขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีและจากความเห็นของกรรมการหลายราย ซึ่งดูเหมือนว่าจะจำกัดการซื้อสินทรัพย์รายเดือนในเร็วๆนี้

นอกจากนี้ในสัปดาห์หน้า บริษัทจดทะเบียนจะเริ่มรายงานผลการดำเนินงานไตรมาสสอง ซึ่งจะสะท้อนปัจจัยที่มีส่วนหนุนผลการดำเนินงาน ทั้งการฉีดวัคซีนและการเปิดเศรษฐกิจที่มากขึ้น

นักวิเคราะห์จาก Baird PWM ระบุว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสสองคาดว่าจะโต 60% จากระยะเดียวกันของปีก่อน ด้วยแรงหนุนของการเปิดเศรษฐกิจ

การระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้าในสหราชอาณาจักรและออสเตรเลียทำให้กังวลว่าจะมีการล็อกดาวน์และจำกัดการเดินทางทั่วโลก ซึ่งจะมีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง อย่างไรก็ตามสถานการณ์การระบาดที่เลวร้ายลงอาจจะมีผลดีต่อกลุ่มเทคโนโลยี

หุ้นกลุ่มพลังงานลดลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง จากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC Plus โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ลดลง 1.57% หุ้นเชฟรอน ลดลง 1.02%

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานที่เพิ่มขึ้น 2.3% หลังจากข้อมูลเศรษฐกิจสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจที่สดใส
คณะกรรมาธิการยูโรปปรับคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้ขึ้นมาที่ 4.8% จาก 4.3% และ 4.5% สำหรับปี 2022 จาก 4.4%

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 459.53 จุด เพิ่มขึ้น 3.55 จุด, +0.78%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,151.02 จุด เพิ่มขึ้น 50.14 จุด,+0.71%
ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,527.72 จุด เพิ่มขึ้น 20.24 จุด, +0.31%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,692.71 จุด เพิ่มขึ้น 181.33 จุด, +1.17%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนสิงหาคมลดลง 1.17 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 72.20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนกันยายนลดลง 1.10 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 73.43 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 
 
ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ร่วง จับตาโควิดแพร่ระบาดในภูมิภาค