HoonSmart.com>> “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” โอดหากภาครัฐเก็บภาษีขายหุ้นจากนักลงทุนจริง ต้นทุนสูงขึ้น กระทบปริมาณซื้อขาย ส่วนทิศทางเงินไหลเข้า ขึ้นอยู่กับดอกเบี้ยของสหรัฐ-การเติบโตของบจ.ไทย ด้าน IPO ในปี64 คาด 40-50 บริษัท มูลค่าระดมทุนใกล้เคียงปีก่อนที่ 5.55 แสนล้านบาท ครึ่งแรกทำได้ 3.41 แสนล้านบาท ช่วงไตรมาส 4 ระดมทุนมากสุด
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงกรณีภาครัฐพิจารณาจัดเก็บภาษีจากนักลงทุนที่ขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจะจัดเก็บในอัตราภาษี 0.11% สำหรับนักลงทุนที่มีปริมาณการซื้อขายมากกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน ยังไม่ได้ข้อสรุป ทางตลท.มองว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อปริมาณการซื้อขายให้ลดลง ถ้ามีการเก็บภาษีจริง จะส่งผลต่อต้นทุนการซื้อขายของนักลงทุนเพิ่มขึ้น
“ทางตลาดหลักทรัพย์คอยรับฟัง และติดตามผลความคืบหน้าดังกล่าวอยู่อย่างใกล้ชิด ท้ายที่สุดแล้วผลออกมาจะเป็นในรูปแบบใด และจะกระทบอย่างไร ซึ่งยังไม่สามารถคาดเดาอะไรไปก่อนได้ อยากให้นักลงทุนติดตามอย่างใกล้ชิด ถ้ามีการเก็บภาษีจริงๆ ก็คงกระทบต่อปริมาณซื้อขาย ถ้าดูที่ตลาดต่างประเทศการจัดเก็บภาษีมีอยู่หลากหลายประเภทในตลาดทุนทั่วโลก การเรียกเก็บภาษีจะขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดของแต่ประเทศนั้นๆ” นายภากร กล่าว
ส่วนแนวโน้มของเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ตัวกำหนดหลักๆ มาจากปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งต่างประเทศคืออัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ หากมีการปรับขึ้น ก็เป็นตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของประเทศนั้นฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว ส่วนปัจจัยในประเทศคือเรื่องของการเติบโตในอนาคตของบริษัทจดทะเบียนไทย ว่าจะมีความน่าสนใจอย่างไร
ส่วนการเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งปกติแล้วจะมีบริษัทเข้ามาระดมทุนปีละประมาณ 40-50 บริษัท โดยจะมีความหลายหลายทางธุรกิจและอุตสาหกรรม คาดว่าในปี 2564 จะมีมูลค่าระดมทุน (IPO) ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้าอยู่ที่ 555,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกอยู่ที่ 341,000 ล้านบาท มีมูลค่าระดมทุน (IPO) สูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในอาเซียน และช่วงไตรมาส 4 โดยปกติแล้วจะเป็นช่วงที่มีการระดมมากที่สุดของทุกๆปีด้วย
ด้านนายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 SET Index ปิดที่ 1,587.79 จุด ลดลง 0.4% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 97,121 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.5% ส่วนในช่วง 6 เดือนแรก ดัชนีเพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563 ซึ่งถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 98,328 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index ได้แก่กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง อย่างไรก็ตามเริ่มเห็นสัญญาณการปรับเพิ่มขึ้นของราคาหลักทรัพย์บางกลุ่มที่สูงกว่าผลการดำเนินงานในอดีตค่อนข้างมาก ซึ่งผู้ลงทุนควรพิจารณาข้อมูลพื้นฐานเป็นรายหลักทรัพย์และกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
นอกจากนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 โดยในเดือนมิ.ย.2564 ขายสุทธิ 10,947 ล้านบาท และรวม 6 เดือนแรก ขายสุทธิ 77,817 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 111,278 ล้านบาท และนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้นักลงทุนในประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดมาอย่างต่อเนื่อง