ดับบลิวเอชเอฯลั่นครึ่งปีหลัง ธุรกิจคึกคัก รอเซ็นสัญญาขายที่ดิน 4-5 ราย ให้เช่าคลังสินค้ากว่า 170,000 ตารางเมตร ขายทรัพย์สินเข้า 2 กองทรัสต์ ผลงานครึ่งแรก กำไรจากการดำเนินงานรวม 1,128 ล้านบาท พุ่งขึ้น 38%
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) เปิดผลงานงวดไตรมาสที่ 2/2561 มีกำไรสุทธิ 303 ล้านบาทเทียบกับกำไรสุทธิ 972 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,082 ล้านบาท เติบโตเกือบ 3%กับกำไรสุทธิ 1,053 ล้านบาทในระยะเดียวกันปีก่อน
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง ภาพรวมธุรกิจของบริษัทจะคึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม และธุรกิจพัฒนาโลจิสติกส์ เนื่องจากพื้นที่การให้บริการของบริษัทส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทในการมุ่งมั่นส่งเสริมพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curve) ของประเทศ อาทิ อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงลูกค้าอุตสาหกรรมใหม่ที่ภาครัฐให้การสนับสนุน ได้แก่ อุตสาหกรรมการบิน และอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
ปัจจุบันบริษัทฯมีการเจรจาลูกค้ารายใหญ่ที่สนใจซื้อพื้นที่ในนิคม จำนวน 4-5 ราย คาดว่าจะสรุปความชัดเจนได้ในครึ่งปีหลังทั้งหมด จึงมั่นใจว่ายอดขายที่ดินในนิคมเข้าเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี และเตรียมซ็นสัญญากับลูกค้ารายใหญ่ในส่วนของคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit อีก 2 ราย คิดเป็นพื้นที่กว่า 170,000 ตารางเมตร ส่งผลให้ยอดการเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากครึ่งปีแรกที่มียอดการเช่าคลังสินค้า และโรงงานแบบ Built-to-Suit และReady-built ประมาณ 60,000 ตารางเมตร
ขณะเดียวกันในช่วงไตรมาส 4 บริษัทฯเตรียมแผนการขายทรัพย์สินของบริษัทฯ ให้กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (กองทรัสต์ WHART) และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช (กองทรัสต์ HREIT) คาดว่าจะรับรู้รายได้ทันปีนี้
ด้านผลงานครึ่งปีแรก บริษัทฯมีกำไรจากการดำเนินงาน 1,128 ล้านบาท เติบโตกว่า 38% หากไม่รวมผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินบาท กำไรที่เพิ่มขึ้นมากมาจากการรับรู้รายได้การขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช (HREIT) ที่มีมูลค่าทรัพย์สิน 1,590 ล้านบาทในช่วงต้นปี โดยมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทและกิจการร่วมค้าจากการดำเนินงาน 5,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6% จากที่มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรฯ ที่ 4,773 ล้านบาท
ทั้งนี้ยังไม่รวมการให้บริการ Solar Rooftop ที่อยู่ระหว่างการเจรจาลูกค้า จำนวน 7-8 ราย คิดเป็นประมาณ 5-6 เมกกะวัตต์ คาดสิ้นปีนี้มีประมาณ 10 เมกกะวัตต์
ส่วนไตรมาส 2/2561 บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่อ่อนค่าลง และการโอนที่ดินน้อยกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทำให้มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทและกิจการร่วมค้า 2,023 ล้านบาท ลดลง 41% แต่หากพิจารณาจากกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติจะลดลง 379 ล้านบาท คิดเป็น 42%