“ดีบีเอส” ชี้เป้าหุ้นเด่นรายกลุ่ม ชวนสะสม ธีมเปิดเมืองถือระยะกลาง

HoonSmart.com>>บล.ดีบีเอสฯมองกำไรบจ.ไตรมาส 2 พุ่งแรงยาวถึงสิ้นปี 64 ดันดัชนีระยะสั้น 1,650 จุด เพิ่มน้ำหนักพลังงาน-การแพทย์-บรรจุภัณฑ์ หาโอกาสซื้อหุ้นใหญ่ ธีมเศรษฐกิจโลกฟื้น-เปิดเมือง แนะซื้อ MINT,AOT,BDMS,AMATA,BEM,CK จัดพอร์ตให้เงินทำงาน “ดร.กอบศักดิ์”มอง 5 เทรนด์สำคัญ คาดกรุงเทพฯใช้เวลาอย่างน้อย 3-6 เดือนกว่าจะเปิดได้ บลจ.เมอร์ชั่นฯเตือนระวังหุ้นขนาดกลาง-เล็กกระแทกลง หลังกำไรไตรมาส 2 วิ่งไม่ทันราคา ชูหุ้นใหญ่-กำไรโต กลุ่มพลังงาน,ปิโตรฯ,การเงิน,แบงก์,อาหารและเครื่องดื่ม,โรงแรม บล.กสิกรฯเชียร์ BBL,MINT,AOT,CPN,TU,PTT, KCE,CBG,BEM,EGCO

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จัดสัมมนาหัวข้อ”ปรับพอร์ตอย่างไร ช่วงเปิดเมือง & QE ลด” โดย” อาภาภรณ์ แสวงพรรค” ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ กล่าวว่า บริษัทได้ปรับเป้าหมายดัชนีช่วงสั้นลง จากที่คาดไว้ระดับ 1,700 จุด ลดเหลือ 1,650 จุด เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ระบาดระลอกสามรุนแรง และเชื้อกลายพันธุ์ บนสมมติฐานผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละ 4-5 พันราย ถ้าเกิดมากกว่านี้ ก็ต้องมาทบทวนใหม่

ส่วนแนวโน้มตลาดในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ตั้งเป้าไว้ที่ 1,725 จุด และช่วง 12-18 เดือน คาดไว้ที่ 1,860 จุด ได้ผลดีจากราคาน้ำมันดิบทรงตัวระดับสูง และกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในไตรมาสที่ 2/2564 จะเติบโตก้าวกระโดดที่ 71% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร่วงลงแรง -47% หนุนดัชนีจะไปถึงเป้าหมายได้ แม้ว่าวัคซีนจะเร่งฉีดไม่ถึงเป้าหมายที่คาดไว้ก็ตาม

“บริษัทในกลุ่มพลังงานมีกำไรสัดส่วน 30 % และมีมาร์เก็ตแคป 22% ของทั้งตลาด เมื่อราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นมาก จากปีก่อนเบรนท์อยู่ที่ 40 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ปีนี้เราตั้งสมมุติฐานราคาอยู่ที่ 68 ดอลลาร์ และปีหน้าที่ 70 ดอลลาร์ ทำให้บริษัทในกลุ่มพลังงานมีกำไรจากสต็อกก้อนใหญ่ หนุนบางตัวกำไรโตเป็น 100% บางบริษัทพลิกจากขาดทุนเป็นกำไร โดยรวมปี 2564 คาดว่ากำไรบจ. จะเติบโตถึง 96-100 % ปีหน้าจะเติบโต 8 % และปี 2566 กำไรโตขึ้น 5% เทียบกับปี 2563 ที่หดตัวลงแรง-55% กลุ่มที่มีกำไรฟื้นตัวชัดเจนในปีนี้ คือ พลังงาน ปิโตรเคมี เหล็ก วัสดุก่อสร้าง และที่เติบโตสูงคือ ไฟแนนนซ์ บรรจุภัณฑ์ แต่ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และสื่อสาร ปรับขึ้นน้อยกว่าตลาด จึงเป็นโอกาสในการซื้อสะสมได้ แม้กำไรกลุ่มสื่อสารจะติดลบ 3-5% เพราะการแข่งขันสูงก็ตาม”อาภาภรณ์กล่าว

ส่วนหุ้นบรรจุภัณฑ์ โรงพยาบาลเพิ่มขึ้นเด่นกว่าตลาด ได้รับผลดีจากสถานการณ์โควิด กลุ่มที่อยู่อาศัยมีบริษัทหลายแห่งโดดเด่นเรื่องผลตอบแทนเงินปันผล ถ้าหากไม่ต่อมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียม ยิ่งสนับสนุนการเติบโต คาดว่าในไตรมาส 4 จะมีคนแห่เข้ามาซื้อและโอน ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวคาดว่าในไตรมาส 2 ยังขาดทุนต่อเนื่อง ขณะที่ MINT จะดีขึ้นจากโรงแรมในยุโรปเปิดดำเนินการ แต่ไม่แน่ใจว่าไตรมาสที่ 1 จะเป็นระดับต่ำสุดหรือไม่ ถ้ายุโรปมีการระบาดระลอกสี่เกิดขึ้น ในช่วงนี้ได้เพิ่มน้ำหนักกลุ่มพลังงาน การแพทย์ และบรรจุภัณฑ์ ขณะเดียวกันลดน้ำหนักกลุ่มเหล็ก และการเงิน ซึ่งธุรกิจการเงินเกิดสงครามราคา หลังจากธนาคารออมสินเข้ามาร่วมแข่งขัน เสนอดอกเบี้ยต่ำ

“สมบัติ เอกวรรณพัฒนา” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำการลงทุนระยะกลางถึงยาว เลือกหุ้นได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการเปิดเมืองในต่างประเทศ คือ MINT ให้ราคาเป้าหมาย 36 บาท คาดผลงานไตรมาส 2 ฟื้นตัวจากโรงแรมที่ต่างประเทศและการบริหารการเงินดี รวมถึง AOT ให้เป้าหมาย 73 บาท แม้ผลงานในไตรมาส 3 สิ้นสุดเดือนมิ.ย. 64 จะยังไม่สดใส ลักษณะธุรกิจโดดเด่นจากการเป็นผู้ประกอบการน้อยรายในอุตสาหกรรม

ส่วนกลุ่มการแพทย์ แม้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามาก แต่ได้ประโยชน์จากโควิดและนักวิเคราะห์มีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการกำไร แนะนำ BDMS ราคาเป้าหมาย 28 บาท นิคมอุตสาหกรรม ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง แนะนำ AMATA เป้าหมาย 23 บาท สามารถขายที่ดินในเวียดนามได้มาก ปรับประมาณการยอดขายปีนี้และปีหน้าเพิ่มขึ้น BEM แนะซื้อ 9.60 บาท กำไรน่าจะฟื้นกลับมาได้เร็ว และรับเหมาก่อสร้างคาดการเปิดประมูลเมกะโปรเจกต์กลับมาในอนาคต แนะซื้อ CK มูลค่า 22 บาท ปัจจุบันยังมีงานในมือน้อยจำนวน 3.1 หมื่นล้านบาท คาดว่าภายในปีนี้จะถึงมูลค่าถึง 1 แสนล้านบาท และปีหน้า 3 แสนล้านบาทจากการเปิดประมูลงานมากกว่า 4 แสนล้านบาทตั้งแต่ปีนี้จนถึงปี2565

ส่วนการลงทุนระยะสั้น ธีมส่งออก ค่าเงินบาทอ่อนยังน่าสนใจต่อกลุ่มอิเล็กทรนิกส์ ส่วนกลุ่มอาหาร เรื่อง กัญชง กัญชา และบรรจุภัณฑ์ ก็น่าสนใจ

“ธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล” ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ กล่าวว่า เงินยังเลือกลงทุนในประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตดี เช่นสหรัฐ จีน แต่ต่างกันที่การระบาดของโควิด หากยุโรปเกิดการระบาดระลอกใหม่ รวมถึงประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น และไทยก็จะทำให้การฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้

ปัจจุบันปริมาณเงินออมสูงผิดปกติ ทั้งสหรัฐ และยุโรป เพราะช่วงโควิดการจับจ่ายใช้สอยไม่ปกติ ไม่ได้ใช้เงินท่องเที่ยว คาดว่ายุโรป เริ่มเปิดเมืองแล้ว จะหนุนเศรษฐกิจ และบจ.ใหญ่จะมีกำไรดีขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจบริการ เช่น โรงแรม สวนสนุก เครื่องบินสหรัฐสั่งซื้อเครื่องบินเพิ่มขึ้น จะเป็นปัจจัยหนุนทำให้ตลาดหุ้นแข็งแกร่ง แม้ว่าในช่วงปลายเดือนส.ค.นี้สหรัฐจะส่งสัญญาณลดทำคิวอี คาดว่าจะปรับลดจริงต้นปีหน้าตลอดปี แต่อย่ากังวลมาก หากตลาดตกใจ น่าจะเป็นจังหวะเก็บหุ้นมากกว่า และมองว่าตลาดหุ้นสหรัฐขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ มีการสลับกลุ่มขึ้น เช่น กลุ่มพลังงาน สถาบันการเงินเริ่มกลับขึ้นมาบ้าง ดังนั้นแนะนำให้นักลงทุนต้องให้เงินทำงาน แนะจัดพอร์ต เน้นกลุ่มหุ้นเติบโตสูง และหุ้นที่สร้างรายได้ เช่น หุ้นปันผลสม่ำเสมอ กองรีท บอนด์ ส่วนทองคำเป็นตัวบริหารความผันผวน ไม่ใช่ถือเงินสด

ส่วนงานสัมมนา #SETinTrend 3 “มองเทรนด์โลก รอ Reopening?” โดยดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า มอง 5 เทรนด์สำคัญใน 6-12 เดือนข้างหน้า คือ1.โควิดระลอกใหม่2.การฟื้นตัวหลังโควิด3.การปรับเปลี่ยนนโยบาย 4.ความท้าทายยุค New Normalและ 5. แผลเป็นจากโควิด จะส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนและเลือกหุ้นในการลงทุน เช่น แผลเป็นจากโควิด ทำให้หนี้ภาครัฐ และครัวเรือนสูงขึ้นเป็น 90% จะดีต่อหุ้นกลุ่มใด ส่วนส่งออกยังคงเติบโต ดีต่ออิเล็กทรอนิกส์ และอาหารยังไปได้ คาดว่ากว่ากรุงเทพฯจะเปิดได้ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-6 เดือนและต้องใช้เวลาอีก 1-2 ปี ในการกระจายวัคซีน ขณะที่โลกยังมีสงครามการค้า สหรัฐทะเลาะกับจีน มีการย้ายฐานการผลิต ทำให้ตลาดมีความผันผวน การแข่งขันยุคโควิด ธุรกิจท่องเที่ยว ร้านอาหารยังต้องเตรียมสภาพคล่องถึงปลายปี สิ่งที่น่ากังวลใจที่สุด คู่แข่งที่ปรับตัวแล้ว แต่บางบริษัทยังไม่ได้ปรับตัว จะลำบาก คนที่ดีก่อนโควิด อาจจะตายหลังโควิดก็เป็นไปได้ เพราะไม่ปรับตัว ส่วน NPLs แบงก์กำลังดูแล

“ประกิต สิริวัฒนเกตุ”กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ กล่าวว่า แนวโน้มโลก มี 2 กระแส คือ การเปิดเมือง (ฉีดวัคซีน) และการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวมากขึ้น ส่งผลต่อตลาดจนถึงเดือนก.ย. ยังต้องดูสัญญาณจากเฟด ตลาดแกว่งขึ้นลง ก่อนจะปรับฐาน และเมื่อเริ่มลดคิวอีในปีหน้าจริง คาดตลาดจะฟื้นตัว เพราะรับรู้แล้ว แต่เงินต่างชาติจะยังไม่เข้ามาลงทุน แม้ประเทศไทยจะเปิดเมือง เพราะหลายประเทศ เช่นจีน ออกมาตรการ มาไทยกลับไปจะต้องกักตัว ยุโรปให้ใบเหลือง มาไทยจะต้องกักตัว 7-10 วัน จึงไม่ต้องหวังเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยว รวมถึงเศรษฐกิจไม่โต แถมขาดดุลบัญชีเดินสะพัด กดดันให้เงินบาทอ่อนค่า จะมีโอกาสลงไป 33 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้ต่างชาติขายหุ้น แต่ปัจจุบันเห็นเม็ดเงินเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว เป็นข่าวดี ช่วยลดการอ่อนค่าของเงินบาท แต่ต้องระวังภูมิภาค บางประเทศปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่ไทยปรับขึ้นไม่ได้ และอาจจะเป็นประเทศสุดท้ายในเอเชีย ทำให้เงินบาทอ่อนแอต่อไป

อย่างไรก็ตาม ตลาดรับรู้ข่าวลบมากแล้ว มองว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว มีโอกาสฟื้นตัวสูง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เดือนก.ค. หุ้นขึ้นเกือบทุกปี ส่วนปีนี้ ผลประกอบการแบงก์ไตรมาสที่ 2 จะออกมาดี เห็นได้จากสินเชื่อโตต่อเนื่อง 3 เดือน ธปท.มีการพักหนี้ ทำให้กาารตั้งสำรองลดลง กลุ่มพลังงานได้ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น จะเกิดกำไรพิเศษ นำไปสู่การปรับคาดการณ์กำไรต่อหุ้นของตลาดปีนี้ไปที่ระดับ 83-84 บาทต่อหุ้น และปีหน้า 96 บาทต่อหุ้น แต่หุ้นขนาดใหญ่(บิ๊กแคป) ราคาหุ้นยังไม่ขึ้นมา SET 50 ปรับขึ้น 5% ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายไปมากถึง 1 ล้านล้านบาท เหลือถือครองประมาณ 26% ของมาร์เก็ตแคป คิดเป็นเงินประมาณ 3-4 ล้านล้านบาท ถือว่าน้อยมากเทียบกับอดีต ตลาดไม่จำเป็นต้องลดลงเพราะต่างชาติ ยกเว้น แรงขายของ NVDR ขายได้อีก ตอนนี้มีประมาณ 5.5 % ของมาร์เก็ตแคป ถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี

“ต้องระวังหุ้นขนาดกลางและเล็ก หุ้นใน mai ราคาจะลงมามาก หลังประกาศกำไรไตรมาส 2 ไม่ดีขึ้น เพราะไม่สามารถลดต้นทุนลงไปได้อีก หลังจากกดไปเต็มที่แล้วเมื่อไตรมาสที่ 1 ขณะที่รายได้ลดลงเพราะโควิด จึงมีโอกาสแย่กว่าที่คาด ประมาณการกำไรบจ. mai โต 5% ปีหน้า 3% ตอนนี้ราคาขึ้นไปแล้ว 40% จากตลาดถูกควบคุมโดยรายย่อย  หุ้นใหญ่กำลังฟื้นตัว กำไรต่อหุ้นกำลังเติบโต เช่นหุ้นพลังงาน ปิโตรเคมี การเงิน แบงก์ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม โรงแรม วางกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง เล่นหุ้นใหญ่ที่เติบโตคาดฟื้นตัว 37% ปีหน้า 22% ถ้ามีการฉีดวัคซีน เปิดเมืองได้ดี ต่างชาติมีโอกาสที่จะขายตลาดพัฒนาแล้ว กลับมาซื้อ หลังจากขายออกไปมาก”ประกิตกล่าว

“สรพล วีระเมธีกุล” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า แนะนำซื้อกองทุนต่างประเทศ  ซื้อธนาคารสหรัฐ หลังผ่านบททดสอบ จ่ายเงินปันผลสูง GDP โต ส่วนหุ้นไทยสนใจหุ้นใหญ่ หุ้นปันผลจะกลับมา การจัดพอร์ตครึ่งปีหลังหุ้นธนาคารแนะนำ BBL ธีมจะกลับมาเปิดประเทศ ท่องเที่ยวแนะนำ MINT,AOT, CPN, TU,PTT หากรับความเสี่ยงต่ำ ซื้อ AOT,MINT หุ้นโรงไฟฟ้า EGCO ราคาปรับตัวขึ้นมาน้อย กลุ่มขนส่ง แนะ BEM เพราะมีรายได้ส่วนใหญ่จากธุรกิจทางด่วน 70% ที่มีปริมาณจราจรกลับมาเร็ว ส่งผลกำไรฟื้นเร็วกว่ารถไฟฟ้า ส่วนหุ้นเติบโตสูง แนะนำ KEC,CBG

ตลาดในช่วงสั้น ๆ พลังงาน ปิโตรเคมี ในช่วงเดือน ก.ค. -ส.ค. อาจจะกลับมาได้ เพราะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 60-70 ดอลลาร์/บาร์เรล รวมถึงกลุ่มโรงกลั่น

” หุ้นครึ่งปีหลังให้แนวรับ 1,540 จุด แนวต้าน 1,680 จุด ตัวแปรหากเดลต้าสามารถเจาะวัคซีนสหรัฐได้ ตลาดจะกลับข้าง หุ้นจะลง 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะขึ้นเพราะลดแรงกดดัน กรณีเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย จากสถิติที่ผ่านมา หลังวิกฤต 12 เดือน ตลาดปรับตัวขึ้นเป็น V shape เมื่อปีก่อนเดือน มี.ค. มีการประกาศใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์ หลังจากนั้นหุ้นขึ้น คาดว่าครึ่งปีหลัง 2564 หุ้นจะแกว่งตัวไม่ขึ้นไม่ลง”สรพลกล่าว
 
 
 
 
อ่านข่าวอื่นๆ

4 โบรกแจกหุ้นเด่นเดือน ก.ค. รอซื้อ1570-1550 ขาย 1640 จุด