เอเซียพลัสชี้เป้า “ช้อน” 1,510 จุด ดีบีเอสฯเชียร์หุ้นเล็กกำไรดี

HoonSmart.com>> บล.เอเซียพลัส ยกสถิติล็อกดาวน์ หุ้นร่วง 4-6% รอบนี้ไม่ต้องรีบซื้อ นัดพบกันแถว 1,510 จุด ถือรอเด้ง ประเมินหุ้นได้-เสียโควิดรุนแรง ด้านบล.  ดีบีเอส วิคเคอร์ส มองเป็นจังหวะช้อนหุ้นกลาง-เล็ก ที่มีกำไรไตรมาส 2 และอนาคตไกล แนะ NRF, NSL, SONIC บล. คันทรี่ กรุ๊ป  เตือน กลุ่มรับความเสี่ยงได้ต่ำ ถอยออกจากตลาด กลุ่มเล่นสั้นเลือก ASIAN, CBG, DELTA, HANA, KCE, TU, BCH, CHG ส่วนนักลงทุนระยะยาวเป็นโอกาสสะสม วันนี้ครม.เคาะมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ เตรียมงบ 7,500 ล้านบาท

บล.เอเซีย พลัส วิเคราะห์พฤติกรรมหุ้นในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ที่ผ่านมา มักจะปรับฐานลงแรงในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะฟื้นกลับ โดยเดือน ธ.ค. 2563 ประกาศล็อกดาวน์สมุทรสาคร ดัชนีลดลง 6.3% และในช่วงกลางเดือนเม.ย. 64 มีมาตรการคุมเข้มแบ่งเป็นโซนสีต่างๆ ดัชนีลดลง 4.8% ในรอบนี้ กึ่งล็อกดาวน์ตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย. 2564 ตลาดมีโอกาสย่อตัวลงราว 4-6% ใกล้เคียง 1,510 จุด

“แนวรับสำคัญอยู่บริเวณ 1,510 จุด หรือถ้าลงมาใกล้เคียงและเริ่มฟื้นกลับ ก็แนะนำให้เข้าสะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งได้ เชื่อว่ามีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากดัชนีมักถูกกดดันแรงจากประเด็นนี้ แต่ก็กินระยะเวลาไม่นาน”บล.เอเซีย พลัส ระบุ

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนเน้นหลบเลี่ยงความผันผวนในประเทศ โดยเลือกหุ้นที่เสริมอาวุธป้องกันโควิด-19 อย่าง BLA (บอนด์ยีลด์ ระยะยาวฟื้น), BDMS (กระแสการตรวจโควิด) และ AS (กระแส Play at Home) เป็น Toppicks

นอกจากนี้ประเมินผลกระทบต่อกำไรปัจจุบันยังค่อนข้างจำกัด จึงประเมินเป็นโอกาสทยอยซื้อสะสม หุ้นที่ยังเห็นการเติบโตของกำไรที่สูงรองรับ SPVI, COM7 และ DOHOME

การล็อกดาวน์รอบนี้เป็นจุดๆ  เช่น แคมป์คนงานก่อสร้าง มีผลเสียกับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และซัพพลายเชน อาทิ วัสดุก่อสร้าง เหล็ก รวมถึงการห้ามรับประทานอาหารในร้าน กลับดีต่อ  TPLAS ผู้นำผลิตและจำหน่ายถุงพลาสติก ส่วนกล่องใส่อาหาร บรรจุภัณฑ์ใส่อาหาร หุ้น SCGP ให้มูลค่าเหมาะสม 65 บาท  นอกจากนี้กลุ่มโรงพยาบาลก็ได้ปัจจัยบวกจากการให้บริการตรวจ และรักษาโควิดเพิ่มมากขึ้น แนะนำ BCH มูลค่า 65บาท CHG มูลค่า 65 บาท และ BDMS มูลค่า 65 บาท และธุรกิจเกมส์หลักๆ คือ AS มูลค่า 15 บาท ได้ปัจจัยบวกจากประชาชนอยู่บ้าน โดยเฉพาะวัยรุ่น คาดจะเล่นเกมส์มือถือ และคอมพิวเตอร์มากขึ้น

นางอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (​ประเทศไทย) ในช่วงนี้ ตลาดระยะสั้นถูกกดดันสูง เป็นจังหวะในการซื้อดักหุ้นกลางและเล็ก ที่คาดว่าจะมีผลประกอบการแข็งแกร่งในไตรมาสที่ 2 และแนวโน้มยังไปได้ดี ซึ่งมีบริษัทหลายแห่ง เช่น DCC MICRO NRF,NSL,BCH,CHG,EKH SNC,LEO,SONIC

“กลยุทธ์ให้เลือกซื้อหุ้นเล็กที่กำไรโต แนะนำ NRF มูลค่าเหมาะสม 12 บาท NSL มูลค่า 18.95 บาทและ SONIC  ราคาเป้าหมาย 5 บาท” นางอาภาภรณ์กล่าว

บล.คันทรี่ กรุ๊ป แนะในสัปดาห์นี้ สำหรับนักลงทุนรับความเสี่ยงได้ต่ำควรชะลอการลงทุน ส่วนนักลงทุนระยะยาว ตลาดเกิดการปรับฐานเปิดโอกาสสะสมมากกว่าบนสมมติฐานที่ระยะยาวขึ้นไปโควิด-19 จะคลี่คลาย เน้นหุ้นรับผลกระทบ อาทิ ค้าปลีก ได้แก่ BJC, CRC, CPALL, HMPRO รถไฟฟ้า BTS, BEM รับเหมา CK, STEC ร้านอาหาร CENTEL, M, MINT ศูนย์การค้า CPN โรงภาพยนตร์ MAJOR  ส่วนนักลงทุนระยะสั้นแนะ ASIAN, CBG, DELTA, HANA, KCE, TU โรงพยาบาล BCH, CHG

ตลาดหุ้นวันที่ 28 มิ.ย. ดัชนีปรับตัวลงแรงตามคาด ลงไปลึกที่สุด 1,565.31 จุด ก่อนตีกลับขึ้นเร็วสูงสุดแตะ 1,581.34 จุด แต่ปิดที่ 1,579.17 จุด-3.50 จุด-0.22% มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 68,835.44 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายต่อ-1,258.66 ล้านบาท ด้านค่าเงินบาทอ่อนค่าปิดที่ 31.95 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นตีกลับ เนื่องจากรรัฐบาลจะเสนอมาตรการเยียวยาเข้าครม.วันที่ 29 มิ.ย. ให้แก่ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งกึ่งล็อกดาวน์รอบนี้ ใน 6 จังหวัด โดยรัฐบาลมีงบประมาณที่เตรียมไว้จำนวน 7,500 ล้านบาท  เช่น มาตรการช่วยเหลือลูกจ้าง สำนักงานประกันสังคม (สปส.) จะจ่ายเงินช่วยเหลือลูกจ้างผู้ประกันตน 50% ของเงินเดือน แต่ไม่เกิน 7,500 บาท ซึ่งจะสามารถจ่ายได้ทันที และรัฐบาลช่วยเหลืออีกรายละ 2,000 บาท ซึ่งต้องรอเข้า ครม.  สำหรับนายจ้างที่ขึ้นทะเบียนกับ สปส.นั้นรัฐบาลจะจ่ายเงินช่วยเหลือให้ 3,000 บาท/หัวลูกจ้าง แต่ไม่เกิน 200 ราย นอกจากนี้ครม.จะพิจารณาแพ็คเกจแก้หนี้ให้รายย่อยด้วย

ด้านบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองมาตรการดังกล่าวไม่ได้เหนือความคาดหมาย  และช่วยประคองผู้ได้รับผลกระทบได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่เศรษฐกิจในภาพกว้างยังถูกระทบจากซัพพลายเชนของการก่อสร้าง รวมไปถึงธุรกิจร้านอาหารที่ต้องสะดุดลงอย่างน้อย 1 เดือน ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 20% ของ GDP จึงต้องติดตามมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจเพิ่มเติมต่อไป