HoonSmart.com>>กูรูช่วยจัดพอร์ตครึ่งหลังปี 64 “ธาดา” สมาคมตราสารหนี้ไทย แนะซื้อหุ้นกู้ที่มีเรทติ้ง BBB+ บริษัทไม่ป่วยตามโควิด อายุสั้น เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐ เชื่อผลตอบแทนคุ้มความเสี่ยง พันธบัตรออมทรัพย์ที่กำลังจะเปิดขาย น่าสนใจ อายุ 3-4 ปี ผลตอบแทนสูงกว่า 10 ปี ส่วนหุ้น “ไพบูลย์” มองขาขึ้นยาว 12 เดือน เป้าดัชนีสิ้นปีนี้ 1,680 จุด ปีหน้า 1,800 จุด เน้นธีมเปิดเมือง แบงก์-ท่องเที่ยว ด้านคริปโตฯ ทยอยซื้อตามความเสี่ยงที่รับได้ เหตุราคาร่วงลงมามาก สถาบันเข้ามาเล่นมากขึ้น นักกลยุทธ์ บลจ.ยูโอบีฯมองทองคำแกว่งแถว 1,700-1,800 เหรียญ ปีหน้ามีโอกาสลงต่ำกว่า 1,700 เหรียญ
สมาคมตราสารหนี้ไทย จัดสัมมนา “หุ้น หุ้นกู้ ทองคำ และคริปโต สินทรัพย์ไหนจะไปต่อในครึ่งปีหลัง 2564 ” โดยนายธาดา พฤฒิธาดา กรรมการผู้จัดการ สมาคมตราสารหนี้ไทย แนะนำว่า นักลงทุนน่าจะเลือกซื้อหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิต (เรทติ้ง) BBB+ อายุไม่ยาว แต่จะต้องพิจารณาว่าบริษัทนั้นไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แพร่ระบาด เพื่อรับผลตอบแทน (บอนด์ยีลด์) ที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้
ทั้งนี้ ตั้งแต่เกิดโควิด กลุ่มเรทติ้งต่ำมีบอนด์ยีลด์สูงขึ้น ส่วนเรทติ้งสูง ผลตอบแทนต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด เช่น อายุ 2 ปี พันธบัตรรัฐบาลตอนนี้ อยู่ที่ 0.52% ต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด เกือบครึ่งหนึ่ง ส่วนเรทติ้ง BBB+ นักลงทนสถาบันซื้อน้อยมาก ตอนนี้บอนด์ยีลด์ยังสูงอยู่ จาก 2.93 % เป็น 3.23% เพราะเครดิตสเปรดปรับขึ้นมามาก ส่วนเรทติ้ง BBB สถาบันไม่ซื้อเลย บอนด์ยีลด์อยู่ที่ 4.16% เช่นเดียวกันโอกาสการผิดนัดชำระหนี้ในช่วง 2 ปี ก็สูง
“เราแนะนำหุ้นกู้อายุไม่ยาวมาก เพื่อไม่ให้พลาดโอกาส หากสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งผลตอบแทนพันธบัตรของไทยมักจะขึ้นตามสหรัฐ ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายของไทย ปีหน้าไม่รู้ว่าจะขึ้นได้หรือไม่ ดอกเบี้ยเงินฝากก็ขึ้นไม่ได้” นายธาดากล่าว
ส่วนการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ฯ ของกระทรวงการคลัง ครั้งที่ 4 วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 1.70% และปีที่ 3 ดอกเบี้ย 2.20% เฉลี่ย 1.80% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน จำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาสัญชาติไทยที่ มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 5 – 23 ก.ค. 2564 น่าสนใจ เพราะให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรอายุ 10 ปี
สำหรับการผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้ ในปี 2564 นับตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 31 พ.ค. 2564 มีบริษัทขอยืดชำระ จำนวน 17 บริษัท รวม 9.8 พันล้านบาท โดยเป็นบริษัทรายใหม่ 4 แห่ง มูลหนี้ 3,485 ล้านบาท อยู่ในธุรกิจขนส่ง 1,500 ล้านบาท กลุ่มเหล็ก 1,140 ล้านบาท ส่วนบริษัทอสังหาริมทรัพย์ 3 บริษัทที่ขอยืดหนี้เมื่อปี 2563 ก็ขอยืดหนี้หุ้นกู้ 5 รุ่น มูลหนี้ 3,912 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยืดชำระหนี้ดีกว่าเมื่อปี 2563 ที่มีมากถึง 14 บริษัท มูลค่าหนี้ 1.8 หมื่นล้านบาท โดยบริษัท 3 แห่ง ชำระหนี้คืนหมดแล้ว 967 ล้านบาท ส่วน 7 บริษัท หนี้จำนวน 1.4 หมื่นล้านบาท ทยอยชำระบางส่วน 3,738 ล้านบาท มี 4 บริษัทยังไม่ชำระ 2,930 ล้านบาท ปัจจุบันยังมีหนี้ค้างชำระรวม 13,557 ล้านบาท
ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทยกล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังเป็นขาขึ้นตามตลาดโลกในอีก 12 เดือน เพราะทั่วโลกเร่งฉีดวัคซีน เศรษฐกิจโลกฟื้นเร็ว กำไรบจ.ที่เติบโตสูงคงไม่ทำให้หุ้นตกลงแรง คาดเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติจะไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ลดลง เลือกตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจ คาดปีนี้ดัชนีหุ้นปิดที่ 1,680 จุด และปีหน้าอยู่ที่ 1,800 จุด กำไรบจ.ปีนี้เติบโต 65% แนะนำเลือกหุ้นธีมเปิดเมือง เช่น ท่องเที่ยว และกลุ่มธนาคารพาณิชย์
นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิปเม็กซ์ (ประเทศไทย) แนะนำให้ทยอยซื้อคริปโตตามความเสี่ยงที่รับได้ หลังจากราคาปรับตัวลงมามาก จากที่ขึ้นไปสูงสุดถึง 2 ล้านเหรียญ ตอนนี้ลงมาเหลือ 1 ล้านเหรียญ ขณะที่มีผู้เล่นในตลาดมากขึ้น ทั้งนักลงทุนสถาบัน ธนาคารกลางของแต่ละประเทศเกิดบิทคอย จีนออกดิจิทัลหยวนออกมาแล้ว โดยมีกฎหมาย กฎเกณฑ์จากหลายประเทศมากขึ้น
นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นมามากตั้งแต่ปี 2563 ถึงปีนี้ ส่วนหนึ่งเพราะสภาพคล่องสูง แะทองคำยังป้องกันดอกเบี้ยและเงินเฟ้อได้ แต่ปัจจุบันนักลงทุนมีสินทรัพย์ทางเลือกมากขึ้น เช่นคริปโต คาดว่าในครึ่งปีหลัง ราคาทองคำจะทรงตัวเคลื่อนไหว 1,700-1,800 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หากขึ้นไปถึง 1,900 เหรียญก็ม๊โอกาสถูกขายทำกำไร ส่วนแนวโน้มในปี 2565 มีโอกาสที่จะลงต่ำกว่า 1,700 เหรียญสหรัฐ หากเศรษฐกิจสหรัฐฟื้น รวมถึงสัญญาณการลดสภาพคล่อง และการปรับขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลต่อราคาทองคำ